โดน ‘มนตร์’ สะกดเข้าให้แล้ว!

บทความโดย THANYA วัชรสิทธา

“มนตร์คือถ้อยคำที่ทำงาน ในระดับอารมณ์ความรู้สึก สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกและความศักดิ์สิทธิ์ภายใน inner self ของเรา เนื้อหาความรู้อื่นๆ ที่เรียน ก็เพื่อมาประกอบเสริมความมั่นใจของเรา ที่จะใช้มนตร์ได้อย่างถูกต้อง รู้ความหมาย และที่มา”

นี่คือสิ่งที่ อ.ตุล ย้ำอยู่เสมอตลอดเวลาชั้นเรียน “มนตร์” สองวันที่วัชรสิทธา

ในห้องเรียน อ.ตุล มอบความรู้เชิงข้อมูลให้มากมายมหาศาล ไม่ว่าใครมีคำถามอะไรก็จะมีคำตอบให้ แถมยังเป็นประมาณถามสิบตอบร้อย บวกเกร็ดความรู้เพิ่มเติมให้เสมอ ราวกับมีคลังข้อมูลเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรมตะวันออกเก็บสะสมไว้ในกระเป๋าโดราเอมอน ทำเอาผู้เรียนตื่นเต้นไปกับเรื่องราวที่แสนจะรุ่มรวยของพิธีกรรม ความเชื่อ และมนตร์ 

ในฐานะเด็กรุ่นใหม่ที่ห่างวัด ไกลพิธีกรรม หรือแม้แต่การสวดมนต์ก่อนนอนก็ห่างไกลมากๆ การเข้ามาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ การจัดแท่นบูชาต้องมีอะไรบ้าง เวลาพระสวดๆ กัน เขาพูดอะไร กระทั่งสายมู คาถาบูชาเทพเจ้า รายละเอียดการถวายเครื่อง-ถวายของให้เทพเจ้า ก็เป็นอะไรที่ความรู้เป็นศูนย์ 

ด้วยความไม่รู้นี้ ทำให้เราไม่อยากก้าวขาเข้าไปใน “ประตูสู่ความศักดิ์สิทธิ์” นี้เท่าไหร่ เพราะมีอคติว่า มันคือเรื่องของศาสนาาาา เรื่องที่ต้องอาศัยความเชื่อ ความศรัทธา จึงจะเดินเข้าไปได้ ต้องนับถือศาสนา ถ้าไม่พุทธ ก็พราหมณ์ ถึงจะมีสิทธิเข้าวงการ นอกเหนือไปจากที่ไม่อยากเข้า ก็ยังรู้สึกกลัว การเข้าวัดสวดมนต์เป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเอามากๆ เพราะรู้สึกว่าเราไม่มีสิทธิทำอะไรเลยในกระบวนการเหล่านั้น สวดมนต์ก็ต้องสวดตามพระ แถมต้องระวังตัวให้ไม่ทำอะไรผิด จะสวดผิด กราบผิด ไปแตะโดนอะไรที่เขาห้ามแตะเข้า 

พอพื้นที่ศาสนาถูกผูกขาดความเชื่อ ความผิดถูก และเรียกร้องความศรัทธา เลยไม่อยากเข้าไปให้ต้องรู้สึกตัวเล็กจิ๊ด นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้คอร์สเรียนศาสนาแบบนี้ห่างไกลตัวมาก ถ้าไม่ได้เข้ามาทำงานที่วัชรสิทธา คงไม่มีวันได้ยุ่งเกี่ยว

แต่เมื่อ อ.ตุล พาเราย้อนกลับไปหาแก่นแกนการทำงานของมนตร์ หนทางสื่อสารกับความศักดิ์สิทธิ์ภายใน ถอดกรอบของศาสนาออกไป เมื่อเราตระหนักได้ถึงข้อนี้ โดยเฉพาะการตระหนักถึงสิทธิอำนาจของเราเอง ที่สามารถเชื่อมโยงกับมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่ต้องผ่านสถาบันศาสนา เพราะเวลาเราทำงานกับมนตร์ มันเป็นการสื่อสารโดยตรงระหว่างตัวเรากับความศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเราใช้อินเตอร์เน็ตต่อตรงได้เลยโดยไม่ต้องผ่านค่ายมือถือ ดังนั้นเราก็ไม่ต้องมัวเสียเวลามาจัดหมวดตัวเองเป็นสมาชิกเครือข่ายไหน หรือนับถือศาสนาอะไรเลยก็ได้ 

นอกจากกลับสู่หน้าที่พื้นฐานมนตร์ อ.ตุลยังให้ความรู้เกี่ยวกับภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาที่ไว้ใช้เขียนมนตร์ และความหมายเบื้องหลัง ที่สร้างความรู้ให้เรามั่นใจต่อเรื่องความถูก ผิด แบบที่มักกังวลเสมอเมื่อต้องไปสวดกับพระ และให้ความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรม ค่อยๆ คลี่คลายความซับซ้อน (ที่วัยรุ่นไม่ถูกใจ) สู่พื้นฐานที่พิธีกรรมเหล่านั้นทำหน้าที่เชื่อมต่อ

พอมีความเข้าใจและความรู้เพิ่มขึ้น ประตูสู่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้เปิดไปสู่พื้นที่เร้นลับหรืองมงาย ที่ไม่น่าก้าวขาเข้าอีกต่อไป

เมื่อมนตร์ทำงานกับเราในภาคปฏิบัติจริง

ส่วนที่สนุกสุดในชั้นเรียนสำหรับนักเรียนประเภทอยู่ไม่สุขก็คือภาคปฏิบัติ ช่วงการท่องมนตร์ หลังจากเรียนภาคทฤษฎีมาทั้งวัน ผู้คนในชั้นเรียนก็เกิดคำถามว่า แล้วมนตร์มันทำงานกับเรา กับร่างกายเราจริงๆ หรือไม่? อ.ตุลจึงพาทดลอง สวด “โอม” ด้วยกัน และให้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากนั้นก็สวดมนตร์ “โอม มณี ปัทเม หุม” (สามารถอ่านเรื่องมนตร์มณีเพิ่มเติมได้ใน บทความก่อนหน้า

แต่ละคนในชั้นเรียนได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยแทบทั้งหมดที่แลกเปลี่ยนกันจะเป็นประสบการณ์ทางด้านอารมณ์ความรู้สึก รวมไปถึงความรู้สึกทางร่างกายด้วย เป็นการทดลองที่มาตอกย้ำประเด็นสำคัญว่า มนตร์คือถ้อยคำทำงานในระดับอารมณ์ความรู้สึก ที่ทำงานกับ inner self ของเรา บางคนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากการสวด โอม ที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ในขณะที่อีกคนท่องแล้ว โอม ติดอยู่ที่บางส่วนของร่างกาย บางคนรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เปิดออก บางคนรู้สึกเชื่อมโยง บางคนเกิดความรู้สึกตื้นตันน้ำตาคลออย่างไม่มีสาเหตุ (อย่างคนเขียนนี่เองไม่ใช่ใครอื่น)

เมื่อลงลึกไปในประสบการณ์แห่งมนตร์ เมื่อเราได้ทำงานโดยตรงกับถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย และบ่อยครั้งอธิบายไปแล้วคนฟังจะไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อได้ง่ายมาก อย่างสิ่งที่ประสบกับตัวเองเวลาที่ท่องมนตร์มณี มักเกิดความรู้สึกรื้นหรือท่วมท้นข้างในตั้งแต่ครั้งแรกที่ท่องออกไปโดยไม่รู้ความหมาย ไม่เคยได้ยินมาก่อน แค่ชอบร้องเพลงและอยากร้องเพลงเพราะๆ กับคนอื่นในห้อง แต่ปรากฏว่ากลับรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างในอก ความรู้สึกอบอุ่น ความเชื่อมโยง และการที่เราอยู่ในกระแสธารแห่งมนตร์นี้ร่วมกับสรรพชีวิต ความรู้สึกเหล่านี้มันเอ่อล้นมากจนน้ำตาไหล  และต่อๆ มาก็ยังมีความรู้สึกเช่นนี้เสมอเมื่อท่องมนตร์มณีร่วมกับผู้อื่น ตอนที่ท่องในชั้นเรียน “มนตร์” นี้ก็เช่นกัน ซึ่งถ้าเล่าให้ใครฟัง เขาก็อาจจะบอกว่า จริงหรอ? คิดไปเองรึเปล่า?

แต่พอกลับมาทบทวนว่าเราคิดไปเองรึเปล่า ก็พบว่าไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ผ่านการใช้ความคิดเลย แต่มาจากความรู้สึกล้วนๆ ….

จากประสบการณ์ตรงนั้น เลยยิ่งตอกย้ำอีกครั้งว่า มนตร์เป็นถ้อยคำที่ทำงานในระดับอารมณ์ความรู้สึก! 

คิดได้อย่างนี้ ก็เลยเลิกตัดสินประสบการณ์ตัวเอง ไม่พยายามจัดกรอบให้มาอยู่ในชุดคำอธิบายที่มีไว้อยู่แล้ว เอาประสบการณ์นี่แหละเป็นตัวพาเราเดินเข้าประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ 

ประมาณว่า ให้มนตร์นำทางเราไปเลย!


ความบังเอิญที่เหมาะเจาะอย่างหนึ่งของชั้นเรียนรอบนี้ โดยปกติกิจกรรมทั้งสองวันจะจัดที่วัชรสิทธา เทเวศร์ แต่ปรากฏว่าจู่ๆ ก็ได้รับแจ้งว่า ในวันที่สองของการเรียน ที่ตึกจะไฟดับ เนื่องจากการไฟฟ้าจะมาซ่อมเสาไฟบริเวณนี้ เราเลยต้องย้ายชั้นเรียนไปเรียนที่ “อวโลกิตะ” ศูนย์ภาวนาแห่งใหม่ที่สาทร ทำให้ส่วนภาคปฏิบัติ เราได้ลองท่องมนตร์ในสองพื้นที่ที่ต่างกัน สร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง พอเรามาสวดมนตร์กันในห้องว่างเล็กๆ กลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยตึกสูง ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผสมกับพลังของมนตร์มณีที่สวดกันทุกวันในห้องนี้ เกิดเป็นพลังเต็มเปี่ยมแทบจะล้นออกไปนอกห้องเลยทีเดียว

สองวันที่ได้แหย่ขาเข้าไปในประตูแห่งความศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ได้รับคือความมั่นใจ ด้วยความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานของมนตร์ รวมถึงความศักดิ์สิทธิ์นิยามใหม่ที่ไม่ได้ผูกโยงกับศาสนา และเราเองยังสามารถสร้างสรรค์มนตร์เพื่อที่จะสื่อสารกับความศักดิ์สิทธิ์นั้นโดยตรงได้ เรามีประสบการณ์กับพลังแห่งมนตร์ในแบบที่เกิดขึ้นจริงๆ กับชีวิตเรา ซึ่งในภายภาคหน้า มนตร์ก็อาจให้ประสบการณ์ที่ต่างออกไปจากตอนนี้อีกก็เป็นได้ ซึ่งเราก็พร้อมเปิดรับทุกความเป็นไปได้นั้นเข้ามา 

หากใครอยากมีประสบการณ์ใน โลกแห่งมนตร์ ในแบบของตัวเอง อยากชวนให้มาลองนั่งที่อวโลกิตะ ตอนทุ่มนึงจะมีมนตราภาวนา เป็นช่วงของการท่องมนตร์ “โอม มณีปัทเมหุม” ร่วมกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ลองพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสายธารมนตร์ ให้ประสบการณ์จาก inner self นำทาง และอย่างที่บอกไปว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเมมเบอร์ของศาสนาไหนก็สัมพันธ์กับถ้อยคำและพลังอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์นั้นดำรงอยู่แล้วในตัวเราทุกคน