“โซโล่รีทรีท” กับการค้นพบครูภายใน

บทความโดย อุทัยวรรณ ทองเย็น

เช้าวันนั้นขณะที่ท้องฟ้ายังมืดอยู่และคนในบ้านยังไม่มีใครตื่น ฉันออกมาจากบ้านด้วยความรู้สึกโหวงๆ ในหัวมีคำว่า “สละละวาง” ผุดขึ้น บรรยากาศของการเดินทางไปในความมืดนั้นคล้ายว่าฉันกำลังละทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อออกบวช และนั่นคือตอนที่ฉันตัดสินใจจะไปฝึกภาวนาแบบปลีกวิเวก หรือ “โซโล่รีทรีท” เป็นเวลาร่วม 2 อาทิตย์  ณ กระท่อมฝึกแห่งหนึ่งที่อำเภอหัวหิน 

การเข้า solo Retreat คือการที่เราจะไปใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายที่สุดเพียงลำพัง เพื่อใช้เวลากับการปฏิบัติภาวนาด้วยตนเองอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง งดการติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกและโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมากๆ สำหรับพวกเราในยุคนี้

ก่อนจะไปก็มีความกังวลร้อยแปดพันประการ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของฉัน แต่ด้วยการตั้งเจตจำนงของการเป็นผู้ฝึกปฏิบัติในสายธรรมของวัชราจารย์เชอเกียม ตรุงปะ และสังฆะวัชรปัญญา  ฉันมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้และฝึกปฏิบัติภาวนาผ่านการเรียนจากครู ทั้งที่เป็นบุคคลและครูที่มาในรูปคำสอนผ่านตัวหนังสือมาแล้วอย่างมากมาย ทว่าการไปเข้า solo Retreat คือการนำตัวเองไปมีประสบการณ์ของการฝึกภาวนาด้วยตนเอง ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับคนที่ชีวิตทางโลก เช่นเรา เรายังไม่ได้สละชีวิตแบบคฤหัสถ์หรือผู้ครองเรือน เพียงแต่เป็นผู้ที่สนใจปฏิบัติภาวนาที่เอาจริงเอาจังเท่านั้น แล้วเราจะไปใช้ชีวิตแบบนักบวชได้ยังไงกันนะ ใจฉันได้แต่กังวลกับการใช้ชีวิตอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า    

และเมื่อไปอยู่จริงก็พบว่าตนเองก็มีสภาวะความกลัวอย่างที่คิดไว้ล่วงหน้าจริงๆ เริ่มต้นจากการเอาชีวิตไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและห่างไกลผู้คน มันสั่นคลอนความมั่นคงทางใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วง สามวันแรก เวลาเย็นตะวันเริ่มอ่อนแสง ฉันรู้สึกเหงาและว้าเหว่คิดถึงบ้านอย่างมาก ความกลัวก็ผุดขึ้นมาเล่นงานตลอด และเริ่มสงสัยว่าการที่เราต้องมาอยู่โดดเดี่ยวเพื่อฝึกภาวนามันจะไปสัมพันธ์อย่างไรกับการที่ฉันยังใช้ชีวิตแบบมนุษย์โลกๆ ของฉันกันนะ (หมายถึงว่าเราไม่ได้เป็นนักบวช) เจ้าความคิดลังเลสงสัยนี้ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่หยุดหย่อน และแม้ว่าพอเริ่มชินเข้าที่เข้าทางกับการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสุดๆ มีเพียงการฝึกภาวนาและกิจวัตรประจำวันไม่มากมาย ไม่มีภาระการงาน ไม่มีโลกออนไลน์ ไม่มีผู้คนให้พูดคุย เพื่อนก็มีเพียงจิ้งจก แมลง กิ้งก่า นกนานาชนิด และเสียงไก่ขันเท่านั้น  และความเงียบสงบของพื้นที่ก็เริ่มดึงให้จิตใจและร่างกายของฉันสงบลงและอยู่กับวิถีของผู้ฝึกภาวนาได้อย่างราบรื่น แต่ทุกวันฉันก็คอยเฝ้านับนิ้วว่าเหลืออีกกี่วันกันนะ

ทุกเช้าฉันจะสวดบทรับไตรสรณคมน์ “ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาพุทธะเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาสังฆะเป็นที่พึ่ง” สิ่งนี้เหมือนเป็นการย้ำเตือนให้ตัวเองได้ตระหนักถึงเจตจำนงที่จะไม่พึ่งพาสิ่งอื่นใดนอกไปจาก พุทธะอันหมายถึง พระพุทธเจ้าหรือคุรุ ครูในสายธรรมที่ได้ส่งต่อคำสอนมายังฉัน ธรรมะคือคำสอนในสายธรรมหรือเทคนิคการภาวนาต่างๆ และสังฆะก็คือวิถีชีวิตของการเป็นผู้ฝึกปฏิบัติ  ดังนั้นแม้ว่าในแต่ละวันสภาวะจิตใจและร่างกายจะแปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ เพียงไร  การระลึกถึงครูและคำสอนในสายธรรม วินัยของการฝึกภาวนาและเทคนิคการภาวนาต่างๆ คือเครื่องยึดเหนี่ยวชีวิตฉันตลอดสองอาทิตย์นี้ และทำให้ฉันสามารถฝึกภาวนาตามตารางที่ตั้งไว้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน 

ชีวิตที่นี่ สิ่งที่ฉันรู้สึกเป็นทุกข์มากคือการกลัวความมืด ช่วงค่ำจึงเป็นความทรมานสุดๆ ในขณะที่เวลารุ่งเช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แสงสว่างขับไล่ความมืดหายไป  ฉันจะมีความสุขที่สุด  และความคิดนี้ก็ล่องลอยไปสู่ช่วงการภาวนา ในครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังภาวนา ฉันนึกว่า ที่เรามาภาวนา เพื่ออะไรกันนะ? เพื่อทำงานกับความทุกข์ของตัวเองด้วยการศิโรราบและไม่ผลักไสดิ้นรนหนีความทุกข์ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราแค่รับรู้ความทุกข์แล้วยังไงต่อ แล้วจู่ๆ ฉันก็นึกได้ว่าเวลาเรามีความทุกข์ เรามักไม่ค่อยรู้ตัวว่าเรากำลังขังตัวเองไว้ในห้อง แล้วพยายามดิ้นรนอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัวว่าเราถูกขัง  แต่เมื่อใดที่เราเริ่มรู้สึกตัวว่าเราขังตัวเองไว้ในนั้น เราจะเริ่มลุกขึ้นและเดินออกมาจากห้องขังของเราเองได้ เริ่มมองเห็นว่าชีวิตมันมีทั้งด้านในและด้านนอก มีการยึดและการวาง การปล่อยตัวเองออกมาจากห้องก็ต้องเริ่มจากการที่เรารู้ตัวก่อนว่าเราอยู่ในห้องและมีข้างนอกที่เดินออกมาเองได้ เมื่อเราเห็นว่าความเจ็บปวดในชีวิตมาจากการยึดติดของตัวเอง เราก็จะเริ่มปล่อย

การที่เราเริ่มมองเห็นแล้วว่าปมปัญหาในชีวิตที่เรารู้สึกคับแค้นหรือไม่พอใจ ซื่งกลายเป็นสิ่งเศร้าหมองในชีวิตนั้น มันคือ “karmic situation” ของชีวิต วินาทีที่รับรู้เรื่องนี้ ฉันถึงกับสะอึก สภาวะที่บอกกับตัวเองว่านี่คือชีวิตเธอ เกิดมาต้องเจอสิ่งนี้ ฉันก็ขนลุกซู่น้ำตารื้น จังหวะนั้นยังจำได้ว่ามองเห็นควันธูปสีขาวลอยเข้ามาที่ตัวราวกับว่าครูมายืนยันว่าสิ่งที่รู้นั้นใช่แล้ว มันคือวินาทีของการศิโรราบ มองเห็นความคิดยึดติดความคาดหวัง เลิกผลักไสหรือก่นด่าใครๆ  มีเพียงความรู้สึกว่ากำลังเปิดใจยอมรับว่าชีวิตเป็นแบบนี้ ก็แค่ทำงานกับมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุด มันก็แค่นั้นเอง

มีหลายครั้งที่เรามักจะไม่รู้เท่าทันส่วนลึกของจิตใจตนเอง  ฉันเจอว่าสิ่งที่ฉันพูดออกไปนั้นไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองเลย เช่น ฉันมักคิดว่าอยากใช้ชีวิตเงียบๆ คนเดียวไม่ชอบสุงสิงกับใคร ถึงขนาดบอกกับตัวเองและคนอื่นๆ เสมอว่าฉันเป็นอินโทรเวิร์ท แต่สิ่งที่พบในการไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวครั้งนี้ บอกความจริงให้ฉันรู้ตัวแบบหงายหลังไปเลยว่า ฉันไม่ใช่คนชอบอยู่คนเดียวเลยสักนิด ฉันยังจำความรู้สึกได้ชัดๆ เวลาที่นั่งพักแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก พอเห็นคนอยู่ข้างนอกไกลๆ อาจจะกำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านมาหรือเข้ามาทำงานในสวนข้างๆ ก็ตาม ใจฉันก็วิ่งตามเค้าไปทันที รู้สึกหิวคนเป็นอันมาก อยากพูดคุยกับคน มันชัดเจนในใจขนาดนั้น การตามดูจิตใจตนเองอย่างถึงพริกถึงขิง มันช่วยลอกเปลือกให้เราได้เปลือยเปล่าและคลายการยึดเหนี่ยวกับภาพลักษณ์ที่แข็งทื่อตายตัวเช่นเคย เราสามารถเป็นได้มากกว่าที่เราบอกกับตัวเอง ขอบของตัวตนเริ่มพร่ามัวไม่ชัดเจน

หลังจากผ่านช่วงยากลำบากใน 3-4 วันแรกไป ฉันก็พบว่าการที่เราใช้เวลาอยู่กับการฝึกภาวนาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง คำสอนต่างๆ ที่เก็บสะสมไว้ในเนื้อในตัวก็ได้ถูกดึงออกมาใช้งาน ประสบการณ์ตรงของสภาวะจิตต่างๆ ที่การภาวนาได้พาความตระหนักรู้ในสภาวะนั้นไปเรื่อยๆ เราจะมีจังหวะที่เกิดความกระจ่างถึงสภาวะธรรมและกระบวนการทำงานของอัตตา เปรียบเหมือนว่าฉันกำลังกลั่นความเข้าใจต่อความเป็นจริงของชีวิตตนเองออกมาจากการเคี่ยวกรำตัวตนและคำสอนในสายธรรมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งครูของฉันบอกว่านี่คือผลของการมาฝึก solo Retreat ที่ทำให้เราสามารถสอนตัวเองได้ ประสบการณ์ตรงจากการภาวนาคือครูของฉัน


การฝึกภาวนาปลีกวิเวก คือการลดทอนความรกรุงรังของชีวิต ให้เหลือเพียงการต้องอยู่กับตัวเองแบบเปลือยเปล่า ไม่มีข้ออ้างหรือภาระหน้าที่อื่นใดมาดึงเราออกไปจากตัวเอง เหมือนเราถูกแขวนเอาไว้อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีสายสัมพันธ์กับสิ่งใดๆ ทั้งนั้น มันจึงมีเพียงการกลับมาดูกายใจตัวเอง มีความตระหนักรู้ที่มองเข้าไป และเมื่อเราตั้งมั่นที่จะอยู่กับการฝึกภาวนาด้วยวินัย  ฝึกที่จะไม่ exit และอยู่กับประสบการณ์ของการภาวนาไปเรื่อยๆ  ฝึกอยู่กับการผ่อนคลายร่างกายและการวางจิตให้อยู่กับกาย เรามองดูความคิดที่ฟุ้งแล้วก็กลับมาอยู่กับร่างกายที่ผ่อนคลาย เปิดกว้าง ว่าง ไปเรื่อยๆ จิตและกายที่ประสานหลอมรวมกันก็จะให้ประสบการณ์ที่ล้ำค่าแก่เรา

ถึงที่สุดแล้ว การภาวนาก็คือการกลับมาทำงานกับตัวตนของเรา ด้วยการฝึกความตระหนักรู้หรือ awareness ในการที่จะมองเข้าไปให้เห็นการทำงานของจิตใจและตัวตน ได้เข้าใจถึงกลไกและกระบวนการทำงานของตัวตนที่ก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต เรื่องเล่า ปมปัญหา ความสัมพันธ์ โลกภายใน โลกภายนอก ทุกอย่างล้วนขับเคลื่อนผ่านกลไกนี้  การฝึกภาวนาเพื่อการตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงต่างๆ ก็คือเส้นทางจิตวิญญานที่จะค่อยๆ คลี่ออก เป็น unfolding journey ของแต่ละคนที่ต้องดุ่มเดินไปด้วยตนเองเพื่อคลายพันธนาการ และได้พบกับความดีงามพื้นฐานที่มีอยู่แล้วภายใน เป็นเมล็ดพันธ์ดีงามที่เราต้องเฝ้ารดน้ำเพื่อให้งอกงามและเบ่งบานขึ้นในใจของเรา ดังเช่นบทสวดมนต์ ”บทปลุกเร้าโพธิจิต” ที่กล่าวว่า

สับสนเวียนวนไปกับหลากรูปแห่งปรากฏการณ์

บ้าคลั่งกับความหวังและความกลัว

สรรพสัตว์ท่องเที่ยวไปบนวัฏฏปฏิกูลแห่งสังสาร

เพื่อสักวันจะได้สัมผัสกับความจางคลาย

ในแสงเรืองรองประภัสสรของมณฑลการตื่นรู้อันไพศาล

ข้อขอปลุกเร้าความรักและความปรารถนาดี

ความยินดีและความไว้วางใจ

ดั่งแก่นกลางดวงใจแห่งโพธิจิต