Subtle Activism : ตัวตน พลังงาน จิตวิญญาณ การเปลี่ยนแปลงสังคม

บทสัมภาษณ์ อันธิฌา แสงชัย
สัมภาษณ์โดย KONG วัชรสิทธา

Q: Subtle​ Activism​ คืออะไร

จริง ๆ มันก็มีคำอธิบายแบบชัด ๆ อยู่นะคะ แต่ก็ต้องมาขยายความอยู่ดี คือ Subtle แปลว่า ละเอียด และ Activism ก็คือ การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสังคม ทีนี้รวมกันก็คือ การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสังคมโดยใช้พลังงานละเอียด ทีนี้พอมันแปลเป็นไทยมันก็ต้องแปลอีกรอบ (หัวเราะ) ว่าอะไรคือละเอียด? อะไรคือพลังงาน?

วิธีคิดของ subtle activism จะคิดว่าโลกเรา-จักรวาลเรา ไม่ได้มีแค่สิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ ที่เป็นวัตถุสสารต่าง ๆ เชิงกายภาพ แต่มีมิติเชิงจิตวิญญาณและพลังงานอยู่ด้วย อันนี้เป็นคีย์ที่สำคัญมาก ทีนี้เวลาที่เรามุ่งเปลี่ยนแปลงสังคม ทำงานการเคลื่อนไหวต่าง ๆ คนมักจะนึกถึงในเรื่องของการออกมาลงถนน การออกมาต่อสู้ ปรากฏตัว ดำเนินงานเชิงนโยบาย การสร้างสัญลักษณ์ หรือการขับเคลื่อนต่าง ๆ แบบที่เราคุ้นเคยกันดีและก็เห็นกันมาตลอด แล้วอันที่จริงมันมีแนวทางที่เรียกว่า subtle activism ซึ่งสามารถทำควบคู่ไปด้วยกันได้ แล้วทำได้อย่างดีขึ้นด้วย คือหมายถึงว่าเมื่อทำควบคู่ไปกับ activism ในรูปแบบทั่ว ๆ ไป มันจะช่วยให้ activism นั้น ๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้น ยั่งยืนมากขึ้น และก็มีพลังมากขึ้นด้วย 

ปัญหาคือว่า เรามักจะมองไม่ค่อยเห็นมิตินี้ นอกจากมองไม่เห็นแล้วเราอาจจะมองว่ามันไม่จริง ไม่มีอยู่ หลายคนก็อาจจะคิดว่าก็ สู้แล้วก็ตายไป เราไม่ได้มองเห็นว่ามันมีมิติที่นอกเหนือจากชีวิตเราที่เรารับรู้ได้ มันก็จะทำให้เรามองโลก มองสังคม มองการเปลี่ยนแปลง โดยที่ขาดหายไปในเรื่องของมิติทางพลังงานและจิตวิญญาณด้วย

เราอาจจะมองไม่เห็นความละเอียดอ่อนในกระบวนการทั้งหมดที่มันก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราด้วย เช่น เราเองก็เป็นมนุษย์คนนึง เราเป็นดวงจิตดวงหนึ่ง เรามีวิญญาณของเรา เรามีพันธกิจในชีวิตของเรา ซึ่งมันอาจจะเกี่ยวเนื่องมากับชีวิตก่อน ๆ อะไรแบบนี้ค่ะ

Q: ทำไมต้อง​ Subtle​ Activism​ มีความสำคัญ​และสามารถตอบโจทย์สภาพการณ์ในปัจจุบันอย่างไร​ (ทั้งสถานการณ์ในประเทศ-นานาชาติ)​

เพราะว่าวิธีการเดิม ๆ ที่ผ่านมามันล้มเหลว มันล้มเหลว มันสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นะ แต่ว่ามันไม่ได้ทำให้ปัญหาหลายอย่างมันหายไปอย่างแท้จริง อย่างเช่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราสร้าง UN เราสร้าง กลไกสิทธิมนุษยชน เพื่อการันตีว่ามนุษย์จะไม่ลุกขึ้นมาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เหมือนที่เราทำกับชาวยิว มันเป็นโศกนาฏกรรมที่สูญเสียรุนแรงมาก แล้วพวกเราก็เห็นกันแล้วว่าถ้ามนุษย์ยังคงคิดว่า ชอบอะไร-ไม่ชอบอะไร เสร็จแล้วเราก็สามารถถืออาวุธขึ้นมาแล้วก็แบบ ยิงคนอื่นเลย คิดในมิติอย่างนี้อย่างเดียว มันก็จะฆ่ากัน อย่างที่เราเห็น มันก็สู้กันก็ยื้อกันอยู่มากมาย แล้วมันก็จะมีคนที่แบบว่า ไม่แคร์อะ ว่าจะต้องมีใครอดอยาก อดตาย จะมีใครต้องลี้ภัยสงคราม หรือว่าโดนละเมิดอะไรต่าง ๆ มันมีคนที่ไม่แคร์จริง ๆ ไม่ว่าเราจะมีกฎหมาย กฎเกณฑ์อะไร ไม่ว่าเราจะเหนื่อยยากในการต่อสู้ ลงถนนกันมากี่รอบ ขังคุกกันมาเท่าไร มันจะมีคนที่เขาไม่แคร์จริง ๆ 

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่พยายามเปลี่ยนแปลง พยายามต่อสู้ก็เหนื่อยล้า มันเกิดคนรุ่นใหม่มารุ่นแล้วรุ่นเล่าเพื่อที่จะเปลี่ยนให้โลกมันดีขึ้น แล้วเขาก็จะต้องโตขึ้นมาด้วยความรู้สึก burnout ด้วยความรู้สึกว่ามันเหมือนการเผาทำลายตัวเองจังเลยในการต่อสู้อะไรแบบนี้ อย่างที่เราเห็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ๆ ของเราออกมาต่อสู้กับระบบเผด็จการ-รัฐบาลทหารในบ้านเรา เราก็เห็นว่าเยาวชนของเราเองเนี่ย เขาก็สู้ด้วยเลือดเนื้อด้วยชีวิต อันนี้มันเกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วมันเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงเลยกับคนที่อยากจะให้สังคมมันดีขึ้น ก็คือว่า เราเหนื่อยล้า บางคนก็หมดพลัง บางคนเลิกเชื่อไปเลยว่ามันจะเปลี่ยนได้ เพราะว่าในช่วงสั้น ๆ ที่เขาออกมาเคลื่อนไหวแล้วมันไม่เปลี่ยนน่ะค่ะ มันต้องใช้เวลา จนไม่รู้ว่าชั่วชีวิตเราจะเห็นไหม แล้วมันก็ทำให้หลายคนท้อ ที่หนักกว่านั้นคือมันไม่ใช่แค่ท้อ แต่ว่ามันบั่นทอนชีวิตเขาถึงขนาดที่ เขาอาจจะเจ็บป่วย มีอาการทางร่างกาย ทางจิตใจไปเลย อันนี้เป็นบาดแผล

แล้วก็อีกกลุ่มนึงก็คืออาจจะส่งผลกับเรา เราก็อาจจะไม่ใช้นักต่อสู้หรอก ไม่ใช่คนที่ออกมาทำอะไร สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โต เพียงแต่ว่าเราเห็นสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วมันห่อเหี่ยว เราไม่อยากอยู่ในประเทศนี้ เราท้อแท้ ไม่เชื่อว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้ มันก็จะมีคนกลุ่มนี้ที่เขาก็จะไม่มีแรงในการจะลุกขึ้นมาทำอะไรได้ เพราะว่าลำพังชีวิตมันก็ยากมากแล้ว แล้วก็อีกกลุ่มคือว่า อยากจะทำอะไรบางอย่างเหลือเกินแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เรายังมีพ่อแม่ที่ต้องดูแล มีงานที่เราต้องทำ จะออกมาแสดงอะไรผลกระทบก็จะส่งไปถึงครอบครัว ส่งไปถึงหน้าที่การงาน จะออกมาพูดเรื่องการเมืองก้ไม่ค่อยสะดวก แต่ในใจลึก ๆ ก็อยากจะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง อยากจะสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา ไม่รู้จะทำยังไงดี แล้ววิธีที่มันเห็น ๆ อยู่มันใช้ไม่ได้ คือเราไม่สามารถไปอยู่บนถนนได้ ทำงานเชิงนโยบายช่วยเหลืออะไรใครได้ ทำให้เขารู้สึกเสียคุณค่า สูญเสียพลังในตัวเอง ทำได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ อยู่ในสภาวะจำยอมร่วมไปกับคนอื่น อยู่ในสภาวะสลดหดหู่ไปวัน ๆ

ที่รู้สึกว่าทำไม subtle activism จึงมาตอบโจทย์ได้ ก็เพราะคุณสามารถเริ่มได้จากจุดที่มันเล็กที่สุด จากจุดที่เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องออกไปทำอะไรที่ไหนเลย แต่ผลของมันกลับมหาศาล กลับสร้างแรงสั่นสะเทือน สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่เราอาจจะไม่ได้เห็นว่ามันโครมคราม แบบประเทศไทยพลิกขึ้นมาได้เป็นประชาธิปไตยทันที แต่ว่ามันจะมีพลังข้างในอยู่ลึก ๆ ที่เป็นฐานอันมั่นคงมาก ๆ ของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอันนี้สำคัญมาก

ก็เลยคิดว่า ถ้าใครรู้สึกว่าต้องมีเครื่องมือบางอัน ที่จะมาช่วยในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ทั้งในไทยและนานาชาติที่ไม่ต่างกันเลย ตอนนี้มันมีทั้งสงคราม คนลี้ภัย วิกฤตเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมก็หนักมาด้วย มันจำเป็นที่ตอนนี้เราต้องออกมาช่วยกัน เราหมดพลัง เราหมดความหวัง เราห่อเหี่ยวไม่ได้ (หัวเราะ) มันต้องใช้คนจำนวนมากและความหวังจำนวนมาก อันนี้แหละที่ subtle activism จะมาช่วยตรงนี้ได้

Q: การใช้ subtle activism ทำงานกับสภาพการณ์เชิงลบ​ จะส่งผลเช่นไรต่อเราในระยะยาว

คือคนที่อยู่ในวิธีคิดแบบเดิมมันพอไปได้ไหม มันพอไปได้นะ หลายคนเขาก็มีเครื่องมืออย่างอื่น เช่น ไปออกกำลังกาย ไปหานักบำบัด จิตแพทย์ ดูแลร่างกาย กินวิตามิน อะไรแบบนี้ หรือการพยายามแบ่งเวลาให้ดี อะไรที่มันเป็น self care ทั่ว ๆ ไป คุณก็อาจจะอยู่ในสังคม​ เป็นนักเคลื่อนไหว เป็น activist เป็นคนที่ใช้ชีวิตในสังคมโดยใช้วิธีการเหล่านี้ในการดูแลตัวเองได้ แล้วคุณก็จะมีพลัง สามารถที่จะทำอะไรบางอย่างที่มันสร้างสรรค์ได้ในระดับนึงเลยทีเดียว แต่ว่าในข้อเสนอของ subtle activism เนี่ย มันไปไกลกว่านั้น ก็คือว่า มันทำงานเชิงละเอียด ทำงานกับพลังงานละเอียด ซึ่งรวมถึงพลังงานละเอียดภายในตัวเราด้วย มันทำงานกับสิ่งที่เรียกว่า เจตจำนง กับสิ่งที่เรียกว่า คลื่นความถี่ กับความรู้สึก อารมณ์ ของเรา 

ดังนั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ คุณเห็นว่าประเทศเรามันมืดมิดเหลือเกิน คุณคิดว่าเราต้องช่วยกันจุดแสงสว่างขึ้นมา แต่แสงสว่างที่คุณจุดน่ะ ไม่ใช่ว่าคุณไปถือคบเพลิง หรือว่าไปเปิดไฟ ไปทำให้เขาต้องมีโรงไฟฟ้า หรือแบบว่าเขาต้องไปมีนโยบายเพื่อผลิตไฟฟ้า หรืออะไรพวกนี้นะ แต่คุณน่ะ กลายเป็นแสงสว่างดวงหนึ่งขึ้นมาเลย ตัวคุณ ดวงจิตคุณกลายเป็นแสงสว่าง คุณสว่างไสว คุณมีคุณภาพของแสงในตัวคุณเลย แล้วคุณภาพของแสงในตัวคุณเนี่ย มันจะเกื้อกูลอย่างน้อย ๆ เลยหนึ่ง คุณจะไม่มืดมิดแล้วแม้ว่าคุณจะอยู่ในสังคมที่มืดมิดมาก แต่ชีวิตคุณไม่มืดมิด คุณเป็นแสงซะแล้ว แปลว่า สังคมนี้มันยากลำบากแต่คุณไม่ได้ทุกข์อีกแล้ว คุณยากลำบากไปกับผู้คนนะแต่คุณไม่ได้ทุกข์ คุณรื่นรมย์ คุณมีพลัง คุณมีความหวัง คุณมีคลื่นความถี่ที่สูง ละเอียด คุณมีสภาวะอีกแบบนึงแล้ว มันเป็นความั่นคง เป็นความสงบ แล้วคุณจะเอาศักยภาพตรงนี้ไปทำอะไรคุณทำได้หมดเลย นึกออกไหม คุณจะไปเป็นนักการเมือง เป็น activist ก็ได้ คุณนั่งเลี้ยงลูกอยู่บ้านก็ได้ไง เพราะคุณนั่งเป็นแสงอยู่บ้านคุณ คุณเปลี่ยนนิเวศในบ้านคุณแล้ว คุณสัมพันธ์กับคนข้างบ้าน กับคนในครอบครัว ญาติในตระกูลของคุณ เขาเห็นแสงที่เขาไม่เคยเห็น นึกออกไหม ดังนั้นมันทำให้เขานึกออกว่าการเป็นแสงมันคืออะไร 

แล้วคุณภาพแบบเนี้ย จริง ๆ แล้วมันน่าสนใจมากก็คือว่า มันไม่จำเป็นที่คุณจะต้องไปตรวจสอบใคร

อธิบายอย่างงี้ อย่างพี่เรียนพวกพลังงานบำบัดมา สิ่งแรกเลยที่คุณจะต้องทำในฐานะนักบำบัด คือคุณต้องทำให้ตัวเองมั่นคง คุณต้องกลายเป็นความมั่นคงก่อน แล้วเวลาที่คนที่เขาต้องการได้รับการดูแล เขาเดินเข้ามาหาคุณ คุณยังไม่ต้องพูดอะไรเลย คุณแค่นั่งอยู่กับเขา เขาก็รู้สึกสงบลงแล้ว นึกออกไหม จิตใจเขาว้าวุ่น เขาเครียดเรื่องนั้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เขามานั่งข้าง ๆ คุณ เขารู้สึกหายใจโล่งขึ้นแล้วก็สงบ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น อันนี้แหละค่ะคือสิ่งเดียวกับที่พี่พูด ว่าคุณเป็นความมั่นคง คุณเป็นความสงบ คุณเป็นแสงสว่าง เพราะคุณนั่งอยู่ตรงนั้น

ถ้าคุณพาตัวเองไปในขบวนการต่อสู้ คุณก็เป็นความมั่นคง เป็นแสงสว่างตรงนั้นด้วยเช่นกัน