Dear Virus : จดหมายถึงไวรัสที่รัก

บทความโดย Ununvirus

ที่มาภาพ Ivan Samkov From Pexels

เมื่อสองปีที่แล้ว การเดินทางมาโลกมนุษย์ของเธอทำให้พวกเราประหวั่นพรั่นพรึง เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเธอมาก่อน แต่ความน่าสะพรึงกลัวของเธอไปไกลกว่าชื่อมากมายนัก หรือเธออาจจะอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว แต่พวกเราไม่เคยรู้จักเธอเลย ครั้งล่าสุดที่ฉันป่วยไม่สบายเข้าโรงพยาบาลคือเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นไข้ติดเชื้อหาสาเหตุไม่ได้ อยู่โรงพยาบาลอาทิตย์นึง ตอนออกมาร่างกายก็พาป่วยต่ออีกเกือบเดือน คือไม่มีเรี่ยวแรง ทั้งกายภาพและสมองก็เบลอๆ อาการใกล้เคียงกับการมาของเธอหรือเปล่านะหรือ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ที่แน่ๆคือ ฉันไม่สามารถทำอะไรๆได้แบบเดิม ทั้งกำลังวังชาและจิตใจ ต้องค่อยๆฟื้นฟูกลับมา

การมาของเธอทำให้โลกชะงักงัน โลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ เธอมาเพื่อรื้อฟื้นสิ่งที่ค้างคาต่างๆที่อยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา เธอมาเพื่อแสดงให้เราเห็นถึงความเปราะบางและสูญสลายได้ของร่างกาย แวบเดียวเท่านั้นเองที่เราหลงไปว่า ร่างกายและสุขภาพดีนี้จะอยู่กับเราตลอดไป เธอมาเพื่อทำให้รู้ว่าสิ่งที่เราเชื่อเกี่ยวกับร่างกายของเราล้วนไม่จริงเสมอไป มีอะไรๆที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของความไม่เป็นอะไรนั้น อยู่ลึกลงไปในเซลล์ตามร่างกายของเรา ตามเส้นเลือด น้ำเหลือง และระบบขับถ่ายทั้งหลายนั่นแหละ

ภาพวาดจากจินตนาการเด็กรอบโลก ท่ามกลางการปิดเมือง
(ภาพของจีญา-อินเดีย)
ที่มาภาพ : bbc.com

เธอมีความพยายามอย่างมากที่จะเข้าหามนุษย์ ฉันต้องยกนิ้วให้เลย เธอปรับตัวได้ดีแม้กระทั่งพวกเราพยายามคิดค้นวัคซีนขึ้นมา เธอก็ยังต่อยอดวัคซีนของพวกเราออกไปเป็นสายพันธุ์ที่ง่ายต่อการติดเชื้อมากขึ้นอีก เธอกลายพันธุ์ไปอีกหลายสายพันธุ์

เธอสนใจร่างกายมนุษย์อย่างมาก ถึงแม้เธอจะสื่อสารกับอวัยวะส่วนใดไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเธอกินพื้นที่ต่างๆเสียหมด  แต่ก็นั่นแหละ มนุษย์ก็ไม่ละความพยายามในการก่อร้างสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ ถึงแม้มันจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีพื้นที่ต่อไปให้เธอได้ฝังรากอยู่ พร้อมที่จะแสดงศักยภาพในการทำลายล้าง เพื่อที่จะได้อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ต่อไป

ภาพวาดจากจินตนาการเด็กรอบโลก ท่ามกลางการปิดเมือง
(ภาพของริว-ญี่ปุ่น)
ที่มาภาพ : bbc.com

ตอนเธอมาใหม่ๆ ได้ข่าวว่าเธอมีศักยภาพรุนแรงมาก การที่มีเธออยู่ในร่างกายทำลายทุกส่วนประสาทที่สัมพันธ์กับการรับรู้และระบบหายใจทั้งหมด ใครๆก็ไม่อยากมีเธอในร่างกาย เพราะทำให้ต้องกักตัวไปครึ่งเดือน และผู้คนพากันรังเกียจเดียดฉันท์ไม่อยากสมาคมกับคนที่มีเชื้อโรคของเธออยู่ในร่างกาย ตอนนั้นฉันรู้สึกโชคดีที่เธอไม่เข้ามาในร่างกายฉันช่วงนั้น และหลงดีใจไปว่า ฉันช่างแข็งแรงเสียนี่กระไร เชื้อโรคใดใดก็ทำอะไรฉันไม่ได้

สำหรับเธอ เธออาจจะแค่อยากมาทิ้งตัวพักร้อนในร่างกายของเรา ร่างกายที่เต็มไปด้วยทรัพยากรอันรุ่มรวย ร่างกายที่มีระบบนิเวศอันสมบูรณ์ ร่างกายที่ดึงดูดให้เธอเข้ามาใกล้ๆ เพื่อนของฉันหลายคนที่โดนเธอฝังร่าง บางคนมีอาการผมร่วงหลังจากเธอจากไปแล้ว บางคนมีอาการปวดหัว มึนๆตลอดเวลาและอาการนั้นก็ไม่มีทีท่าจะหายไป

ที่มาภาพ Yaroslav Danylchenko From Pexels
ที่มาภาพ cottonbro From Pexels

หลังจากที่หายแล้ว ส่วนสมองที่เป็นที่รักยิ่งของหลายๆคนนะเหรอ การที่มีเธอเข้าไปฝังตัวอยู่ทำให้เราหลงๆลืมๆ ส่วนที่เชื่อมต่อกันของสมองที่เราเคยสร้างเอาไว้เธอก็กลับมาทำให้มันรางเลือน ทำให้หมอกควันกลับเข้ามาในสมอง ทำให้เหมือนเรากลายเป็นคนเฉื่อยชา ความฉลาดไม่ได้เป็นทางเลือกที่เลือกได้อีกต่อไปแล้ว และเธอยังเอาทักษะในการได้กลิ่นและรับรู้รสไปจากเรา เธอคงคิดว่า มนุษย์ได้สิทธิพิเศษจากการสัมผัสหรือได้กลิ่น การรับรู้รสชาติอันหอมหวานของอาหารหลากหลาย มนุษย์ช่างแสนพิเศษเหลือเกินสินะ  

ถ้าเธอแค่อยากมีส่วนร่วมกับมนุษย์ การฝังตัวตนของเธอลงบนร่างกายของเราก็เกินพอแล้วนะ ที่จะทำให้ระบบทุกอย่างของเรารวนไปหมด เราไม่สามารถหายใจทั่วท้องได้อีกต่อไป แล้วเธอยังทิ้งความเหนื่อยหัวใจกลับคืนมาให้กับเราอีก เพื่อนคนหนึ่งของฉันบอกเช่นนั้น

ฉันจำได้ตอนที่ฉันเป็นเด็ก  เธอเป็นแค่ไวรัสตัวเล็กๆ ไม่ได้ทรงพลังขนาดนี้ อย่างมากเธอทำให้พวกเราเป็นไข้หวัดไปหลายวัน แต่ก็ไม่ถึงกับนอนซมหลายคืน และหายใจไม่ทั่วท้องขนาดนี้ การมีเธออยู่ในร่างกายทำให้เราจนมุม ใช่สิ เราทำอะไรไม่ได้ตามปกติเลย ลืมแม้กระทั่งรหัสเข้าคอนโดของตนเอง นี่ อัลไซเมอร์มาเร็วกว่าที่คิดหรือนี่

ที่มาภาพ cottonbro From Pexels

แต่อีกแง่มุมหนึ่งที่ต้องขอบคุณเธอ คือ เธอนำพาเอา Basic Anxiety กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย ความไม่เคยชินเหล่านั้น มันเห็นไม่ชัดในช่วงที่เราสบายดี แต่ตอนที่มีเธออยู่ในร่างกาย มีพลังงานดิ้นรนที่ไม่สามารถจะควบคุมได้เกิดขึ้นตลอดเวลา พลังงานที่ทำให้เราพยายามที่จะทำให้ร่างกายเราสบายขึ้น ทำให้เราหายจากสภาวะที่เป็นอยู่ขณะนี้  แต่เอาเข้าจริงๆคือ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นได้ เราได้พบกับพลังงานอันมหาศาลที่มาจากข้างในกายของเรา แม้เราจะป่วยอยู่ พลังงานที่จะนำไปสู่ทิศทางใดใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไหลไปตามทางของมัน หรือเราจะลองอยู่กับอารมณ์ดิบๆพื้นฐานอันนี้ดูสักตั้ง ลอง Connect กับจังหวะเรียกร้องของมัน จังหวะกระสับกระสบาย ดิ้นรน ไม่หยุดนิ่ง บางทีเราอาจจะค้นพบพลังงานบางอย่างที่หยุดนิ่งอยู่กลางพายุก็เป็นได้

ที่มาภาพ Mikhail Nilov From Pexels

นอกจากความกระวนกระวายพื้นฐานแล้ว เธอยังทำให้เรากลับมา Connect กับช่องกลางกายได้มากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งเราหายใจติดขัดหรือหายใจไม่อิ่มมากเท่าไหร่ การกลับมาหายใจในร่างกาย ไม่ใช่หายใจแค่ส่วนบนของร่างกาย ดูจะเป็นทางออกทางเดียวที่ทำให้เราอยู่กับร่างกายได้

การกลับมา Connect กับ Central Channel และเส้นกระดูกสันหลังที่โค้งลงไปถึงส่วนล่าง กลับช่วยให้เราหายใจสบาย มีพื้นที่มากขึ้น และไม่รู้สึกเหนื่อยกับการหายใจอยู่แค่ช่วงบนหรือด้านหน้าของร่างกายเท่านั้น

พอหายแล้ว ระบบอะไรต่างๆก็ยังรวนเรไปบ้าง แต่การกลับมาอยู่กับร่างกายที่ถึงแม้จะทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนเดิม แต่ก็ได้ก้าวข้ามความเคยชินเดิมๆของร่างกายเราออกไป

จริงๆอาการเจ็บป่วย ก็อาจจะเป็นเหมือนพรจากสรวงสวรรค์ ที่ช่วยสะกิดหรือตบหลังแรงๆถึงความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย ตอกย้ำถึงช่วงเวลาของชีวิต ที่อาจจะไม่ได้ยืนยาวหรือคงทนถาวรเสมอไป

ดั่งเช่น ในหนังสือ “ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจของเหล่าพุทธะ” โดย ดุจจอม รินโปเจ ฉบับ วิจักขณ์ พานิช แปล ได้กล่าวไว้ว่า…

“The illusory body, like a hundred-year-old house. If it survives, that’s all right. If it collapses, that’s all right. Without becoming obsessed by food, clothes and medicines, May I constantly practice the Supreme Teaching”

– Dudjom Rinpoche

“ร่างกายอันเป็นมายา เหมือนดั่งบ้านเก่าอายุหนึ่งร้อยปี หากอยู่รอด ก็ดี หากพังลง ก็ดี ไม่มัวหมกมุ่นอยู่กับอาหาร เสื้อผ้า และยารักษาโรค ขอให้ข้าได้ปฏิบัติตามคำสอนอันประเสริฐอย่างต่อเนื่อง”

– ดุดจอม รินโปเช

OM MANI PADME HUM!!!