“ผมกำลังจะตาย” : จดหมายจากโคทม อารียา

บทความโดย โคทม อารียา

(ความเรียงนี้เป็นแบบฝึกหัดส่งให้ครูวิคตอเรีย สุบีรานา ในการอบรมเรื่อง “การอยู่และตายอย่างมีเกียรติ”)

ผมเข้าโรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว และอยู่ห้องพิเศษที่มีผมเป็นคนไข้คนเดียว เพราะต้องการความสงบ ค่ารักษาพยาบาลไม่มากนักเนื่องจากเป็นข้าราชการบำนาญ ผมกับภรรยาได้ตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่า เราไม่ต้องการยื้อชีวิต และได้ทำหนังสือ “แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข” ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2562 มีใจความว่า “ในกรณีที่ข้าพเจ้าตกอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต  หรือในกรณีที่ข้าพเจ้าได้รับทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ ข้าพเจ้ามีความประสงค์ที่จะแสดงเจตนาที่จะขอตายอย่างสงบตามธรรมชาติ  ไม่ต้องการให้มีการใช้เครื่องมือใด ๆ กับข้าพเจ้าเพื่อยืดการตายออกไปโดยไม่จำเป็นและเป็นการสูญเปล่า  แต่ข้าพเจ้ายังคงได้รับการดูแลรักษาตามอาการ”

ผมป่วยเป็นโรคกระเพาะ มีเลือดไหลออกมาและต้องให้เลือดตามอาการ แต่ด้วยเหตุที่ผมอายุมากแล้ว หมอและผมจึงเห็นพ้องว่าไม่ควรผ่าตัด เพียงแต่ประคับประคองชีวิตและไม่ให้ทรมาน อย่างไรก็ตาม อาการของผมทรุดลงเรื่อย ๆ ผมและภรรยาจึงตกลงขอให้หมอหยุดการให้เลือดในสามวัน หมอบอกว่าผมจะเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น ลูกสาวที่อยู่ฝรั่งเศสทราบเรื่องแล้วและกำลังบินมา

วันที่หมอหยุดให้เลือด มีคนมาเยี่ยมผมหลายคน ผมเหนื่อยมาก พวกเขาจึงออกไปจากห้องของผมแล้วเข้ามาเยี่ยมทีละคน ใช้เวลาคนละ 2-3 นาที มาบอกลา เพื่อน ๆ เข้ามาเยี่ยมก่อน บางคนมาขอโทษผมในเรื่องที่ผมจำไม่ได้แล้ว บางคนมาบอกเรื่องที่เราเคยบาดหมางกัน และขออโหสิกรรมต่อกัน ผมสบายใจขึ้นมาก รู้สึกถึงความรักและความจริงใจที่พวกเขามีต่อผม แล้วก็ถึงคราวของพี่ชายและพี่สะใภ้ ตามด้วยลูกหลานของพวกเขา ผมดีใจมากที่มีโอกาสได้บอกลา น้องภรรยาพร้อมครอบครัวก็มาเยี่ยมและกอดผม หลาน ๆ ก็มาด้วย ผมรู้สึกว่ามีคนที่รักผมมากมายหลายคน แต่ผมเริ่มได้ยินเสียงพวกเขาไม่ค่อยชัด สุดท้าย เหลือเพียงภรรยาและลูกสาวสองคนอยู่ในห้อง พวกเธออยู่เงียบ ๆ มีเสียงนางพยาบาลเดินเข้าออก แล้วหมอก็มาเยี่ยม

ผมฟังเรื่องที่พวกเขาพูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง นอกจากเรื่องที่มีคนมากระซิบที่หูจึงจะได้ยินชัด ตาผมเริ่มฝ้าฟาง แยกไม่ค่อยออกว่าใครเป็นใคร นี่ผมกำลังจะตายแล้วใช่ไหม ผมขยับมือให้ภรรยาเข้ามาใกล้ ถามเธอว่าพินัยกรรมของผมเรียบร้อยดีใช่ไหม นอกจากลูกสองคนแล้ว ผมอยากแบ่งเงินส่วนหนึ่ง แม้ไม่มากนักให้หลานฝ่ายพี่ชายที่มีฐานะไม่ค่อยดี และเป็นเงินบริจาค เธอบอกว่า “เธอไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลยนะ ฉันจะดูแลให้” แล้วเธอก็ร้องไห้ ลูกกันเธอออกไปนอกห้อง

ไม่รู้ว่าใครนิมนต์พระไพศาล วิสาโลมา พระพูดอะไรผมจับความไม่ได้ชัด จากนั้นได้ยินเสียงสวด ดูเหมือนจะสวดเรื่องสติปัฏฐานสี่จากที่ไกล ๆ อายตนะของผมเริ่มไม่ทำงาน ดูเหมือนพระจะสวดเรื่องขันธ์ห้าด้วย แต่วิญญาณขันธ์เริ่มสลาย ผมกำลังถูกตัดขาดจากโลกภายนอก รู้สึกกลัวและเย็นยะเยือกจับใจ อยากให้เขาลดแอร์ก็พูดไม่ได้ ทำได้แค่จับมือของภรรยาไว้

แต่แล้วแรงเพียงแค่จับมือก็ไม่มี เป็นเธอจับมือผมไว้แน่น กล้ามเนื้อของผมฝ่อไปแล้วหรือนี่ ดูเหมือนว่าเนื้อตัวผมกำลังยุบลง มีอะไรมากดทับ หนักเหลือเกิน อึดอัดเหลือเกิน ผมอยากให้มีใครสักคนประคองให้ผมยกตัวขึ้นนั่ง ได้ยินเสียงลูกสาวบอกแม่เขาว่า “ทำไมเนื้อตัวพ่อถึงซีดจัง” ไม่ได้ยินคำตอบ แต่ผมนึกตอบอยู่ในใจ “นี่แหละลูก พ่อกำลังจะไป ลูกดูแลแม่และดูแลตัวเองด้วยนะ” ผมอ่อนเพลียเหลือเกิน แต่หมอคงให้ยา จึงไม่เจ็บปวดอะไร พยายามมองหาลูก สื่อได้เพียงสายตา เสียใจที่ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยได้สื่อสารกับลูก ๆ มากนัก ตอนนี้สื่อไม่ได้แล้ว ทั้งหมดแรง ทั้งง่วง ตาไม่ได้มองอะไร เพียงแต่เห็นแสงระยิบระยับจากไหนก็ไม่รู้ นี่จะใช่ภาพลวงตาก่อนไปหรือ

อยู่ดี ๆ มีน้ำมูกไหลออกมาจากจมูก แต่แปลกแฮะ ทำไมตาและปากกลับแห้งผาก รู้สึกว่าน้ำลายเหนียวหนืด ขอน้ำหน่อยซิ อยากได้น้ำมากลั้วคอ ไม่มีเสียงออกจากลำคอ ความรู้สึกว่าตัวกลับอ่อนลง บอกไม่ถูกว่าสบายตัวหรือไม่สบายตัว ว่าร้อนหรือหนาว แต่คงไม่ใช่อุณหภูมิหรอก พระสวดกำลังเรื่องเวทนาขันธ์ แต่ขันธ์ทั้งห้าของผมกำลังสลายไป ในท่ามกลางจิตที่เลอะเลือน เกิดภาพเหมือนกับว่าถูกแม่น้ำใหญ่พัดพา สลับกับภาพเมฆหมอกและไอน้ำที่พวยพุ่งออกมา

ไม่ใช่ไอน้ำมั้ง เป็นไฟก็ได้ ผมต้องการความอบอุ่น ทำไมเท้าและแขนถึงเย็น เย็นมาถึงหัวใจ ผมขาดเลือดหรือเปล่า เออจริงซิ เราบอกให้หมอหยุดเลือดแล้วนี่ ผมหายใจออกมาเป็นลมเย็น แต่ทำไมจึงมีไอร้อนระบายออกมาจากกระหม่อม เอาอย่างไงกันแน่ ทำไมถึงร้อน ๆ หนาว ๆ ทำไมจิตใจจึงสับสนและชัดเจนสลับกันไป ความเย็นทำให้หมดความรู้สึกที่ปากและจมูก ภาพและรูปทรงต่าง ๆ เลือนราง จางหาย จำอะไร จำใครไม่ได้ แยกเสียงกับภาพไม่ออกแล้ว สับสนไปหมด เห็นแต่ประกายไฟปลิวว่อนอยู่เหนือกองไฟ นี่จะใช่อาการไฟธาตุแตกหรือ

ผมหายใจไม่ออก ลมหายใจเข้าสั้นลง มีเพียงลมหายใจออกที่ยาวขึ้น เขาว่าคนใกล้ตายตาจะไม่ขยับ เพียงแต่กลอกขึ้นข้างบน แว่วเสียงร้องไห้ หรือว่าใครสังเกตว่าตาผมแข็งแล้ว อย่าร้องเลย เราตัดสินใจกันแล้วนะ ยื้อชีวิตไปไม่มีประโยชน์ ปล่อยผมไปเถอะ ไออุ่นที่หัวใจที่เหลืออยู่น้อยนิด ดูเหมือนจะบอกว่า ผมนั่นแหละที่ต้องยอมปล่อย ผมนั่นแหละที่กำลังยื้อยุด ผมนั่นแหละที่กลัว ผมนั่นแหละอยากมีลมหายใจ ผมนั่นแหละที่อาลัยอาวรณ์กับอายตนะ สัญญา และสัญญาณชีวิตทั้งหลาย ผมกำลังตกอยู่ในลมพายุที่โหมกระหน่ำโลกทั้งโลก และกำลังจะพัดพาผมไป นี่หรือที่เรียกว่าลมสว้าน เหลือเพียงลมปราณอึดสุดท้าย เห็นเพียงแสงตะเกียงริบหรี่ นี่หรือที่บอกกันว่าคนใกล้ตายคือตะเกียงที่กำลังดับแสง

ผมกำลังสิ้นลม แต่ลมปราณอึดสุดท้ายทำให้ผมฟื้นขึ้นมานิดหนึ่ง ผมได้ตกลงกับภรรยาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ถ้าผมขยับนิ้วมือซ้ายก่อนตาย ขอให้เธอรีบบอกหมอว่าผมยังไม่พร้อมจะไป ขอให้นางพยาบาลรีบให้เลือดที่เตรียมไว้พร้อมแล้วทันที หลังจากได้รับเลือด ผมเริ่มมีแรงขึ้นมาเล็กน้อย ผมขอภรรยาว่า ผมอยากบอกประสบการณ์เฉียดตายของผมให้คนอื่นรู้และเตรียมตัว เตรียมตัวหมายถึงการชำระล้างอกุศลกรรมต่าง ๆ และการภาวนาเพื่อให้สิ่งสะสมที่อยู่ในจิตใต้สำนึกได้ผุดขึ้นมาและจางออกไป ขณะเดียวกันก็ประกอบกุศลกรรมเพิ่มขึ้น

ผมอยากแนะนำเพื่อน ๆ ให้อ่านคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต ที่กล่าวถึงชีวิตและความตายที่ไม่อาจแยกจากกันได้ โดยความเป็นไปของคนเราแบ่งออกเป็นสี่ช่วงเวลา หมายถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน (บาร์โด) ทั้งสี่ ได้แก่

  • บาร์โดตามธรรมชาติ คือบาร์โดแห่งชีวิต
  • บาร์โดอันทุกข์ทรมาน คือบาร์โดแห่งความตาย
  • บาร์โดอันแจ่มกระจ่าง คือบาร์โดแห่งธรรมดา
  • บาร์โดแห่งกรรม คือบาร์โดแห่งการถือกำเนิด

บาร์โดตามธรรมชาติหรือบาร์โดแห่งชีวิตนั้น ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเตรียมตัวตาย

บาร์โดอันทุกข์ทรมานหรือบาร์โดแห่งความตายกินเวลาตั้งแต่การเริ่มขึ้นของการตาย ไปจนถึงเวลาที่เรียกว่า “การสิ้นสุดของลมหายใจภายใน” ซึ่งมีขึ้นภายหลังจากขณะเวลาที่แพทย์สมัยใหม่วินิจฉัยว่าตายแล้วประมาณ 20 นาที อีกนัยหนึ่ง บาร์โดแห่งความตายมาสิ้นสุดตรงการปรากฏแห่งธรรมขาติของจิตเดิมแท้

บาร์โดอันแจ่มกระจ่างหรือบาร์โดแห่งธรรมดาครอบคลุมประสบการณ์หลังความตาย อันเป็นภาวะที่ธรรมชาติแห่งจิต ได้แผ่รัศมีเป็น “แสงกระจ่าง” ปรากฏเป็นเสียง สี และแสง

บาร์โดแห่งกรรมหรือบาร์โดแห่งการถือกำเนิด คือสิ่งที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า “อันตรภพ” ซึ่งไปสิ้นสุดเมื่อเราไปเกิดใหม่

ผมอยากบอกให้เราสนใจบาร์โดแห่งความตายไปจนสุดถึงการแตกสลายภายใน ซึ่งหมายถึงการแตกสลายของความรู้สึกนึกคิดทั้งหยาบและละเอียด เป็นการย้อนทวนขั้นตอนแห่งการปฏิสนธิ เชื้อของพ่อที่กล่าวกันว่ามีลักษณะสีขาวจะไหลลงมาจากจักระตรงกระหม่อม เชื้อของแม่ที่กล่าวกันว่ามีลักษณะสีแดงจะไหลขึ้นมาจากจักระตรงท้องน้อย เชื้อทั้งสองมาพบกันที่จักระตรงหัวใจ โดยวิญญาณรับรู้ถูกประกบอยู่ตรงกลาง นิมิตภายนอกคือความดำมืด นิมิตภายในคือสภาพจิตที่ไร้ซึ่งความนึกคิดใด ๆ อวิชชาถึงแก่การยุติ กิเลสอันได้แก่โทสะ โลภะ โมหะดับสิ้น รากเหง้าแห่งสังสารวัฏหมดไป เกิดช่องว่าง ธรรมชาติเดิมแท้ก็เผยออกมา เป็นการเข้าสู่บาร์โดอันแจ่มกระจ่าง

ผมอยากบอกให้เราสนใจบาร์โดอันแจ่มกระจ่าง ในช่วงเวลาประมาณ 49 วันหลังการแตกสลายภายใน เป็นโอกาสสำคัญแห่งการไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ชอบ ทั้งด้วยแรงส่งของครูบาอาจารย์ทางธรรม ด้วยแรงส่งของญาติมิตรที่จะ “ทำบุญอุทิศส่วนกุศล” ไปให้แก่จิตที่อยู่ในระยะบาร์โดนี้ ที่สำคัญคือการสะสมกรรมดี และการลดทอนอกุศลกรรมในช่วงเวลาแห่งชีวิต ซึ่งอาจช่วยนำพาจิตที่เหลืออยู่ไปสู่ภพใหม่ ครูวิกตอเรียบอกว่า ถ้าเราปฏิบัติภาวนาโพวา (Phowa) จะเป็นการเตรียมตัวตายแบบหนึ่ง เป็นการระลึกถึงครูทางธรรม การอธิษฐานขอตายอย่างสงบ การสร้างจินตภาพของครูในรูปบุคลาธิษฐานหรือรูปของแสงสว่างของบาร์โดอันแจ่มกระจ่าง การปฏิบัตินี้จะช่วยพาจิตให้หลอมรวมกับความแจ่มกระจ่างนั้นได้

ผมยังไม่ตาย เพียงแต่เคย “กำลังจะตาย” ผมกำลังจะหวนไปผ่านกระบวนการตายอันแสนทรมานเป็นครั้งที่สอง ที่อาจจะดีขึ้นเพราะทราบชัดขึ้นว่าต้องเผชิญการดับสูญของอายตนะและของธาตุดิน น้ำ ไฟ และลมตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผมไม่ห่วงว่าภรรยาจะจัดงานศพของผมอย่างไร เพราะผมได้มอบร่างกายให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ไปแล้ว ผมไม่ห่วงเรื่องที่คนจะจดจำผมอย่างไร เพียงแต่ขอคนที่รักผมที่มีอยู่มากพอ จะได้ช่วยเกื้อหนุนจิตที่ยังเหลืออยู่ในระยะเวลา 49 วันหลังจากที่ผมจากไป โดยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง ถ้าเชื่อในคัมภีร์มรณศาสตร์ ผมจะได้ไปเกิดในครรภ์มารดาที่ชอบโดยมีโพธิจิตติดตามไป หรือสามารถหลุดออกไปจากวัฏสงสาร ถึงอย่างไร นี่เป็นชะตากรรมที่ผมก่อนั่นแหละ ถึงที่สุดแล้วไม่มีใครอื่นที่ช่วยได้มากเท่าตัวผมเอง

ขอลาอีกครั้ง ผม “กำลังจะตาย” อีกแล้ว ขอตายอย่างสงบ ขอบคุณทุกคน