“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ทั้งหมดอยู่ใน presence ของครู”

บทความโดย พรทิภา จันทรพราม

บางคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องซับซ้อนว่าจะเลือกใครเป็นครูดี โดยเฉพาะในสายปฏิบัติวัชรยานที่พอถูกถามว่า “ใครเป็นครูเธอ?” เราจะเริ่มรู้สึกตัวเกร็งแล้วไม่รู้จะตอบว่าใครยังไงดี… เรารู้สึกกดดันเวลาที่ได้ยินที่คนเค้าบอกๆ กันว่า “การตามหาคุรุนี่ช่างเป็นเรื่องที่ยากมาก” “คุรุนี่ช่างน่ากลัวมาก” คือมันอาจทำให้ดูเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่สุดท้ายจากแง่มุมของการภาวนา มันอาจเป็นเรื่องที่สอดคล้องกันทั้งหมดเลยว่า…

เราจะสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติสูงสุดที่มีอยู่แล้วในตัวเรา หรือดำรงอยู่รอบๆ ตัวเราอย่างไร?

เราจะวางใจอย่างไร”

วิจักขณ์ พานิช

ในคืนสังฆะปฏิบัติ วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ครูตั้ม วิจักขณ์ พานิช ได้เปิดประเด็นเรื่องการสัมพันธ์กับพลังงานของครูไว้อย่างน่าสนใจ ครูตั้มชี้ให้เห็นว่า ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางจิตวิญญาณ หลายๆ คนอาจมีท่าทีเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในลักษณะที่ว่า


“เราชอบไปปฏิบัติธรรมเพราะไปแล้วรู้สึกมีความสุข จากนั้นเราก็กลับมาใช้ชีวิตโลกๆ ของเรา

แล้วเดี๋ยวก็ค่อยกลับไปปฏิบัติธรรมอีก”

ครูตั้มเน้นย้ำว่าในสายปฏิบัตินี้ “เราไม่ได้ภาวนาด้วยท่าทีแบบนั้น” ในการเดินบนเส้นทางจิตวิญญาณ ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อความ “ฟิน” ส่วนตัว ไม่ใช่อารมณ์แบบไปเที่ยวหรือลาพักร้อน ซึ่งประสบการณ์อย่างหนึ่งจะช่วยเปลี่ยนท่าทีต่อการภาวนาไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ การที่เราเริ่มจะรู้สึกถึง Presence (การดำรงอยู่) ของครู” ซึ่งครูในที่นี้รวมถึงครูทั้งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ ทั้งที่มองเห็นและรวมถึงพุทธะ โพธิสัตว์ being หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มองไม่เห็นด้วย ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบของภาพใหญ่ภาพเดียวกัน

การฝึกที่จะสัมพันธ์กับพลังงานของครู ในช่วงแรกเรามักเริ่มสัมพันธ์กับครูในรูปแบบที่เป็น “ตัวบุคคล”  จากนั้นอาจจะเปลี่ยนเป็นครูในรูปแบบที่เป็น “พลังงาน” มากขึ้น พลังของครูบาอาจารย์ พลังงานของสายธรรม พลังงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสุดท้ายทั้งหมดนี้ก็จะรวมเข้ามาเป็นสิ่งเดียวกัน  ส่วนท่าทีของเราที่สัมพันธ์กับพลังงานครูในช่วงเริ่มต้น ก็อาจจะเป็นไปในลักษณะที่เรา rely on พลังงานนี้ เหมือนเราเป็นคนที่ต่ำต้อยกว่า ต่อมาก็อาจจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นลักษณะที่เท่ากันมากขึ้น หรือเป็นลักษณะที่เราเริ่มที่จะเป็นเนื้อเดียว เป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานเหล่านี้มากขึ้น          

ความสัมพันธ์กับพลังงานของครู เมื่อมองจากมิติทางจิตวิญญาณแล้ว หลายครั้งมักถูกมองว่ามีลักษณะเป็น hierarchy มากเกินไป ยิ่งถ้าไม่ได้ฝึกที่จะสัมพันธ์กับพลังงานนี้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ เราจะรู้สึกว่า “ครู” หรือ “พลังงานของครูบาอาจารย์” นั้น ดูจะมี “อำนาจเหนือ” มาก ทั้งที่จริงๆ แล้วความสัมพันธ์นี้เป็นอะไรที่ Intimate มากๆ ตรงกันข้าม หากเราฝึกที่จะสัมพันธ์กับพลังงานของครูบ่อยขึ้น ความสัมพันธ์นี้ก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เป็นเนื้อเป็นตัวกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนไปพ้น hierarchy และการแบ่งแยก  

“เราจะรู้สึกว่าเค้าก็อยู่กับเราแถวนี้แหละ เป็นสิ่งที่กลมกลืนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว

เค้าดูแลเรา เราดูแลเค้า เค้าเคารพเรา เราก็เคารพเค้า”

เมื่อเราฝึกที่จะ Relate กับพลังงานของครูอย่างต่อเนื่อง เราจะมีมุมมองที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เวลาที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือปัญหา…

อย่างแรกเลยคือ เราจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลย “ครูอยู่กับเราเสมอ”

เมื่อครูอยู่กับเรา จากเดิมที่เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางไปซะทุกเรื่อง มีการหาเหตุหาผลอะไรต่างๆ เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด บางทีมันอาจกลายเป็นอะไรง่ายๆ ด้วยการที่เราไม่ได้มองอุปสรรคหรือปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ว่าเป็นเรื่อง personal อีกต่อไป…

เรามองว่ามันเป็นความสัมพันธ์บางอย่างที่เรามีต่อครู เราอยู่ใน presence ของครูอยู่ตลอดเวลา ครูกำลังเกื้อหนุนเราอยู่ ให้บททดสอบเราอยู่ ให้โจทย์ ให้ธรรมะแก่เราอยู่ ครูมองอยู่ตลอดว่าเราจะไปยังไงต่อ ไม่ใช่จับผิดเราอยู่นะ แต่ครูเกื้อหนุนเราเสมอ ลุ้นเรา ผลักเรา สะกิดเรา ถีบเรา สัมผัสเรา โอบกอดเรา และในบางครั้งถ้าเราขออะไรจากครู ท่านก็ให้ เมื่อใจเราถึงครู ใจครูก็ถึงเรา แล้วทันใดนั้นพรของครูก็ส่งมาถึง …ครูอยู่ตรงนั้นกับเราเสมอจริงๆ


ในช่วงของการปฏิบัติ ครูตั้มให้สมาชิกสังฆะลองฝึกเชื่อมต่อกับพลังงานของครู  ด้วยการเชื่อมต่อพลังงานจากการถูก Trigger พาเข้าสู่ช่องกลางกาย จากนั้นเชื่อมต่อกับพลังงานของครูบาอาจารย์ แล้วจึง make offering  สุดท้ายจึงรับพรจากครู สำหรับรายละเอียดและขั้นตอนโดยสรุปมีดังนี้


1. เชื่อมต่อกับพลังงานจากการถูกทริกเกอร์ในร่างกาย

 – ลองรู้สึกกับพลังงานจากการถูก Trigger ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบที่มันอยู่ในจิตของเรา รู้สึกกับพลังงานเหล่านั้นตรงๆ รู้สึกกับมันในระดับ Felt Sense ไม่ตีความ ลองจับมวลทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนั้นก็คือมวลของคำสอน  มวลของสิ่งที่เราจะทำงานด้วย    

– ผ่อนคลายร่างกายให้อุ้มรายละเอียดของมวลอันนี้ให้ได้มากที่สุด ให้เซลล์ ให้อณูรูขุมขนในร่างกายรับรู้ความเกร็ง ความตึง ความรู้สึกแผ่ตรงนั้นตรงนี้ ความรู้สึกมวนท้อง ความรู้สึกกลัว รู้สึกถูกด่า รู้สึกซาบซึ้ง    

– ลอง Relate กับพลังงานในตัวของเรา    

– เชื่อมต่อกับความว่าง


1 ) ด้วยการผ่อนคลาย : รับรู้จุดที่เกร็ง จุดที่ปิด แล้วก็เปิด  
2 ) ด้วยการมี Presence : อะไรก็ตามที่เรารู้สึกอยู่ในตัวเราตอนนี้ รับรู้สึก Support ของ Space ที่ไร้เงื่อนไข  
3 ) ด้วยการเชื่อมต่อกับพื้นดิน :  เชื่อมกับพื้นดิน เหมือนเรากำลังเชื่อมกับ Basic Goodness หรือความดีพื้นฐาน

เป็นพื้นที่ของการเคารพทุกประสบการณ์อย่างเท่าเทียม รู้สึกว่าเราสามารถที่จะทิ้งตัวได้ ยอมรับได้ เปิดได้ ไม่มีอะไรที่แย่เลย ทุกอย่างที่เรารู้สึก ทุกอย่างที่ Trigger เรา ทุกอย่างที่มันซาบซึ้งในใจเราล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญ เราเพียงแค่เปิดรับกับประสบการณ์อันนั้นอย่างที่เป็น แล้วก็มองว่ามันเป็นสิ่งที่จริงแท้ในตอนนี้ของเรา เราสามารถเปิดรับมันเหมือนกับที่ผืนดินเปิดรับ

เริ่มต้นด้วยมวลอันนั้น ไม่ใช่เริ่มต้นด้วย Label (การติดป้าย) สิ่งนั้น

ยอมรับการมีอยู่ของมวลนั้น

Connect กับ Basic Goodness ของผืนดิน
  

2. พาพลังงานทั้งหมดสู่ความว่างตรงช่องกลางกาย

– ค่อยๆ ไล่ขึ้นมา จากผืนดินด้านล่างลึกลงไปถึง infinity          

– รู้สึกตรงบริเวณจุดดิน: รับรู้ถึงความว่าง ความเคว้งน้อยๆ          

– หายใจผ่านขึ้นมาที่บริเวณท้องน้อย : รู้สึกถึงข้างในท้องน้อยที่เชื่อมต่อกับความเคว้งน้อยๆ          

– ต่อขึ้นไปอีกจนถึงลิ้นปี่ : อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในร่างกาย มันดูจะมาเชื่อมกับ Depth ตรงช่องกลางกายตรงนี้ ความว่าง ความหวิวๆ ตรงช่องกลางกายตรงนี้     

– ขึ้นมาที่บริเวณหน้าอก : รับรู้ถึงความว่าง Depth ของ Infinity จากพื้นดินขึ้นมาที่จุดดิน, ท้องที่รับรู้ถึง Infinity ลิ้นปี่ที่รับรู้ถึง Infinity, หน้าอกส่วนบน

– ขึ้นมาสู่คอ: สังเกตความว่าง ความว่างจะมี Impact กับเรา มันอาจจะทำให้เรารู้สึกตื่นๆ หวิวๆ เหมือนกับมีพลังงานอะไรบางอย่าง Soma นี่แหละที่มันรู้สึก Activate ขึ้นเวลาที่เราสัมพันธ์กับความว่างได้

– ขึ้นมาที่ตรงโคนลิ้นจนถึงบริเวณท้ายทอย ลองให้ทั้งหมดนี้เป็นช่องเดียวกันที่รับรู้ถึง Depth ของ Infinity ของผืนดินข้างล่าง

– Fill up ขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงตรงบริเวณกลางกะโหลกศีรษะ บริเวณระหว่างคิ้ว : รับรู้ถึงความหวิวหน่อยๆ Bliss น้อยๆ

– รับรู้ถึงความรู้สึกตรงกลางกระหม่อม ปลายกระหม่อม ตรงบริเวณที่เราบอกว่าขนหัวลุก ลองเปิดความรู้สึกตรงนั้น ที่เชื่อมต่อกับ Space ที่อยู่ข้างบน

– รับรู้ถึงช่องของความว่างตรงกลางกายทั้งหมด

– ปล่อยจากการต้าน ปล่อยจากการขืน “ไม่มีอะไร Personal” 

– Gather พลังงานหรือประสบการณ์ทั้งหมดเข้ามาสู่ช่องกลางกาย มีเจตจำนงเดียวในการเชื่อมต่อกับความดีงามสูงสุด

– ลอง Direct พลังงานขึ้นไปสู่ข้างบน : จินตนาการถึงต้นกำเนิดของแสงสว่าง อาจทำ Visualization ถึงครู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แสงสว่าง หรือคุณสมบัติบางอย่างที่เป็นต้นกำเนิดของความรัก ความอ่อนโยน เป็นคุณสมบัติที่ประเสริฐ เป็นความสว่าง เป็น Presence ของครู ถ้าเราทำถูกต้องมันจะเป็นเส้นที่ Align กันหมดเลย ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คนที่มีความสำคัญในชีวิตของเรา เขาอยู่ด้วยกันทั้งหมดเลย อันที่จริงเราไม่ต้องเลือกเลย เพราะมันไม่ Personal แล้ว

“Central Channel นับว่าเป็นการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของพุทธวัชรยานเป็นพื้นฐานของโพธิจิต การสัมพันธ์กับ Absolute Emptiness ความรู้สึกของการมี Devotion  การมี Gratitude ต่อครู ต่อ Supreme Energy ต่อเจตจำนงสูงสุดของชีวิต ต่อ Vow หรือปณิธานทั้งหลายที่เราให้ไว้ “


3. make offering มอบเครื่องถวายอันวิจิตรแด่ครู

– รวมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้เชื่อมต่อกับช่องกลางกาย : เป็นความรู้สึกที่เราสามารถที่จะยอมตายจากตัวตนเพื่อที่จะ Fullfill ความสัมพันธ์อันนี้     

– ดำรงอยู่ในความว่าง :  เป็นความว่างที่ Embodied เป็นความรู้สึกเหมือนเรากำลัง Connect กับ Depth อะไรบางอย่าง มันมีความรู้สึกที่ไม่ได้สามารถที่จะใจลอยไปไหนได้ รู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนขอบเหว แต่แทนที่เราจะพยายามหาที่มั่นหรือปกป้องตัวเอง เรา Connect กับความรู้สึกว่างตรงนั้น แล้วก็เชื่อมต่อกับเจตจำนงสูงสุด พลังงานสูงสุด    

– จากนั้นให้ make offering :  อะไรที่เมื่อสักครู่นี้ที่เป็นสิ่งเรารู้สึกว่ามันหนัก ไม่แน่ใจ ลังเล กลัว หรือความคิดโน่นนี่ ลอง make offering สิ่งเหล่านั้นให้กับครู ความคิดเข้ามา – offering , ความลังเลสงสัยเข้ามา – offering , ความกลัวเข้ามา –  offering เรามีเงิน – offering,  เราไม่มีเงิน – offering, ชีวิตจะอะไรยังไงก็ตาม – Offering  ทุกอย่าง

เวลา Offering ให้รู้สึกเหมือนกับเรากำลังมอบให้มันเป็นไป “แล้วแต่ครู” “ไม่ใช่เรื่องของเรา” “อย่าไป Worry อะไรมาก”     – ลองรวมสิ่งที่เราเจอในชีวิตด้วย มีอุปสรรคอะไร มี Struggle อะไร มีความกลัวอะไร มีความลังเลสงสัยอะไร ถ้ามันผ่านเข้ามาก็ Offering ไปด้วย Offering ให้หมด มอบให้ครู เผยให้ครู ทั้งหมดแล้วแต่ครู มอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดว่ามี ที่เราคิดว่าเป็น มอบเป็นเครื่องถวายอันวิจิตร

“ขอท่านจงโปรดรับ”


4. รับพรจากครู

make offering หมดแล้ว เหลือแต่ภาชนะที่ว่างเปล่า

จากนั้นให้รู้สึกถึง Blessing : รับรู้ Blessing จากการที่เรามอบทุกอย่าง หรือ Offering ให้กับครูบาอาจารย์  เมื่อถึงจุดที่เราว่าง เป็นภาชนะแล้ว รับรู้ถึงสิ่งที่โปรยลงมาจากแหล่งกำเนิดสูงสุดของความสว่าง ความรัก     – จำความรู้สึกนี้ไว้  ความรู้สึกเวลาที่เรา Align กับพลังงานของครู ความรู้สึกอ่อนน้อมที่เรามีต่อครู ความรู้สึกของ Present ของครู

ลองฝึกเชื่อมต่อกับพลังงานของครูด้วยการฝึกปฏิบัติสี่ขั้นตอนนี้

การฝึกภาวนากับความว่างตรงช่องกลางกายเป็นสิ่งที่อัตตาเราเกลียดมาก เพราะมันไม่มีหลักอะไรให้ยึดเลย แต่ในภาวะที่ไร้หลักนั้น ไม่ว่าจะมีความปั่นป่วนทางอารมณ์ ทางความคิด หรือเมื่อถูก trigger จากสถานการณ์ชีวิตที่ท่วมท้น ถ้าเราสามารถ Connect กับช่อง “ว่าง” กลางกายนี้ เชื่อมต่อทุกประสบการณ์ที่ถูกโอบรับโดยผืนดินถึงครูบาอาจารย์ได้ อะไรก็ตามที่เรากำลังเผชิญอยู่มันจะผ่านไปได้ แล้วมันจะผ่านไปได้ด้วยปัญญาญาณของครูบาอาจารย์

ครูตั้มเสริมว่า ความท้าทายในเรื่องความสัมพันธ์กับครู จริงๆ แล้วน่าจะอยู่ที่ “การสัมพันธ์กับครูที่เป็นมนุษย์” มากกว่า ครูเป็นเทพนั้นดูจะไม่ยากเท่าครูเป็นมนุษย์ เพราะความสัมพันธ์กับครูที่เป็นมนุษย์ดูจะมีทั้งความขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ คาดเดาไม่ได้ rely on ไม่ได้ มันมีความขัดแย้ง มี Trigger กับเราเยอะมาก การอยู่ใกล้ครูก่อให้เกิดเรื่องราวมากมายเต็มไปหมด ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเข้มข้นมาก ดังที่มีคนกล่าวไว้ว่า “ครูก็เหมือนพระอาทิตย์ อยู่ไกลก็หนาว อยากเข้าไปใกล้ๆ ก็ร้อน อยากถอยห่าง”

มองห่างๆ ก็ชื่นชมราวกับเขาหรือเธอไร้ที่ติ แต่พอได้เข้าไปใกล้ชิด ก็ยิ่งเห็นว่า “ครูของเรานี่ก็ช่างเป็นมนุษย์มากกกก…” มากเสียจนมีหลายอย่างที่เราอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า “เราไม่ชอบครูที่ตรงนี้ ที่ตรงนั้น” มีหลายๆ อย่างมากที่ เป็นมนุษย์ของคนคนนั้น ที่เราแทบจะทนไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้ว ศรัทธาต่อครูคือเรื่องเดียวต่อศรัทธาต่อการภาวนา นั่นก็คือ Commitment ที่จะอุ้มประสบการณ์อันขัดแย้ง ขั้วตรงข้ามเหล่านี้ไว้ในใจเราทั้งหมด เราอนุญาตให้คนคนนี้ทริกเกอร์เราได้เต็มที่ เราอุ้มมวลของประสบการณ์ทั้งหมดไว้ โดยที่ยังสามารถเชื่อมโยงกับพลังงานสูงสุดของครูที่ทำงานผ่านความเป็นมนุษย์ของคนนั้น

ประเด็นเรื่องการสัมพันธ์กับพลังงานของครู อยากชวนให้ลองเอาไปใคร่ครวญ แล้วลองเอาไปฝึกสัมพันธ์กับการภาวนาของเราในชีวิตประจำวันดู  ถ้าเราฝึกที่จะเชื่อมต่อสัมพันธ์กับพลังงานของครูอย่างต่อเนื่อง เราจะมี perspective ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เวลาที่เราเผชิญกับอุปสรรคหรือปัญหา 



“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ทั้งหมดอยู่ใน Presence ของครู”



สรุปความจากกิจกรรม “สังฆะปฏิบัติ” วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565