บทรีวิวภาพยนตร์ โดย วิจักขณ์ พานิช
![](https://www.vajrasiddha.com/wp-content/uploads/2022/02/memoria-1024x536.png)
เสียงที่สั่นสะเทือนลึกไปถึงแกนกลางของ soul
เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ของอภิชาติพงศ์ ที่เราไม่ได้คาดหวังที่จะมาดูให้รู้เรื่อง แต่ที่ตั้งตารอดู Memoria ก็เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง sound กับ cinematic experience และโดยส่วนตัว เราสนใจประเด็นเรื่อง “ความทรงจำ” และอยากรู้ว่าอภิชาติพงศ์จะตีความคำคำนี้ในหนังของเขาอย่างไร
…..
เสียงปังแรก
มันมี impact กว่าที่คิด
ปังแรกเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความตื่นตัวในการสัมพันธ์กับความไม่รู้บางอย่างตลอดหนังทั้งเรื่อง เราไม่รู้ว่าปังต่อมาจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ถี่แค่ไหน จากทิศทางไหน ดังหรือค่อย จะว่าน่ากลัวเหมือนหนังผีก็ไม่ใช่ แต่มันคือหนังเขย่าขวัญแบบหนึ่งที่มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเราสืบค้น สำรวจและเดินเข้าหาเสียงปริศนาในแผ่นดินต่างถิ่นลึกลับ
เธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึกด้วย “เสียงที่สั่นเทือนลึกไปถึงแกนกลางของโลก” แน่นอนว่ามันไม่ใช่เสียงที่ดังจากข้างนอก เธอตื่นขึ้นจาก”เสียงข้างใน” ที่ดังมากๆ ดังจนเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้อีก หนังไม่ได้บอกว่าเธอเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าหลังจากคืนนั้น เธอก็ศิโรราบต่อมันในฐานะส่วนสำคัญของชีวิต และต่อ Inner Quest บางอย่าง
ปังแรกตามมาด้วยจังหวะปังเขย่าขวัญก็โผล่มาเรื่อยๆ ไม่สม่ำเสมอ หนังพาเราเดินอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความกลัวกับความกล้า พยายามคิดตีความกับพยายามฟังและรู้สึก ….และระหว่างความหลับกับความตื่น ระหว่างที่เธอพยายามค้นหาว่าเสียงที่ดังขึ้นภายในของเธอคืออะไรและต้องการบอกอะไร ความทรงจำของเธอก็เริ่มแปลกๆ … จำได้ จำไม่ได้ จำถูกหรือจำผิด ซึ่งมาถึงจุดนี้ ไม่คนอื่นเริ่มมเงเธอว่าบ้า ก็เป็นตัวเธอนั่นแหละที่เริ่มสงสัยตัวเอง
แม้จะเริ่มเชื่อความคิดตัวเองไม่ค่อยได้ แต่เสียงข้างในที่ดังมากและไม่ยอมหายไปไหน กลับทำให้เธอมีความสามารถในการได้ยินที่ชัดขึ้น (และแน่นอนว่าเราในฐานะคนดูก็จะได้ยินเสียงเหล่านั้นชัดเจนทั้งหมด) เสียงเล็ก เสียงน้อย เสียงดัง เสียงค่อย รายละเอียดยิบย่อยของเสียง …sensitivity ถูก amplify ขึ้นพร้อมๆ กับเสียงที่ดังข้างใน ก็นั่นแหละอาการแบบนี้ ถ้าไม่บ้า ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้มาสนใจภาวนา
เธอเลือกภาวนา เริ่มมองหาที่เงียบในการสืบค้น มองหาคนที่ช่วยเธอพิจารณาเสียงนั้นให้ชัดขึ้น มองหาธรรมชาติ เดินเข้าป่า และเส้นทางพาเธอให้ได้เจอกัลยาณมิตรที่เป็นนักขุด
หนังไม่ได้พาไปขุดค้นอะไรภายในแนวจิตวิทยา แต่เป็นการขุดค้นในเชิงโบราณคดี ขุดเข้าไปในอุโมงค์ ขุดเข้าไปในแกนโลก เสียงภายในพาเธอถลำลึกเข้าไป และลึกลงไป ในผืนแผ่นดิน ในผืนป่า และในกระแสธารของ human soul
![](https://www.vajrasiddha.com/wp-content/uploads/2022/02/1626181098_736695684@2x.jpeg)
“เพียงหยุด และ connect ทั้งหมดก็อยู่ตรงนั้น”
Quest ทั้งหมดมาจบลงด้วยการเรียนรู้ที่จะหยุดและเชื่อมต่อ กับใครบางคนหรือสภาวะบางอย่างที่ดำรงอยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่เคยไปไหน รู้ทุกสิ่ง จำได้ทุกอย่าง เธอไม่ต้องพยายามหลับฝันเพื่อให้ได้พบหรือไปถึง เพียงแค่หยุดและเปิดใจ ความทรงจำต่างๆ ก็หลั่งไหลพรั่งพรู เป็นความทรงจำแห่งบรรพกาล แรงสั่นสะเทือนที่เขย่าลึกไปถึงแกนกลางของ soul ให้เราได้เชื่อมต่อ ให้เราได้รู้สึก ให้เราได้เห็นอกเห็นใจ
Memoria เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างยาว แต่รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในพื้นที่ไร้กาลเวลา มีห้วงกึ่งหลับกึ่งตื่นบ้างตามประสาดูหนังอภิชาติพงศ์ (ฮา) แต่เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ สัมผัสได้ถึงพลังของภาพยนตร์ที่ทำงานกับประสบการณ์ระดับ subconscious/ collective unconscious อย่างน่าประหลาด ช่วง Q&A อภิชาติพงศ์เล่าว่าตอนฉายหนังเรื่องนี้ในโคลัมเบีย มีคนดูแล้วร้องไห้โฮไม่หยุด เป็นการร้องไห้ที่ไม่มีเหตุผล ทิลด้าพูดเป็นนัยๆ ว่าประสบการณ์ดูหนังแบบนี้เหมือนอยู่ใน “temple” ส่วนตัวเองหลังดูจบก็มีภาวะขนลุกเป็นห้วงๆ อยู่ยาวนาน
“เสียงที่ถูกกดทับ” กับ “ความทรงจำที่เลือนหาย”
Memoria ให้ภาพการเดินทางสืบหาความจริงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานกับเสียงภายในตัวเอง และความทรงจำมหาศาลที่ถูกกลบฝังซ้อนทับ เราล้วนมีเสียงนั้นดังอยู่ภายใน ไม่ว่าจะมีที่มาจากความสับสนสงสัย ความไม่เป็นธรรม หรือจากความรุนแรง… ลึกๆ เราได้ยินเสียงนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติหรือทำเป็นไม่ได้ยิน ทว่าเมื่อเสียงนั้นดังชัดจนไม่สามารถหนีได้อีกแล้ว อาจเป็นโอกาสให้กับการเชื่อมต่อกับความทรงจำที่ถูกทำให้เลือนหาย และเข้าถึงความหมายของการมีชีวิตอย่างไม่แยกขาดจากสรรพสิ่งและผู้คนอีกครั้ง