การเยียวยาเริ่มต้นด้วยการรู้สึกขอบคุณ – Healing Begins with Gratitude

“ความลับอันยิ่งใหญ่ของการรู้สึกขอบคุณ คือ มันไม่ใช่สิ่งที่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ภายนอก มันเหมือนกับการตั้งค่าหรือช่องสัญญาณที่เราสามารถกลับมาหาความรู้สึกนั้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นรอบๆ ตัวเราก็ตาม”

โจอันน่า เมซี่


จะแปลคำว่า gratitude ยังไงให้สัมผัสความหมายในใจ? จริงๆ มันก็คือคำว่า “กตัญญู” นั่นแหละ แต่เราใช้คำว่ากตัญญูกันเสียจนช้ำ และแทบไม่เหลือความหมายในทางความรู้สึกไปแล้ว

gratitude การรู้คุณ หรือการรู้สึกขอบคุณ ไม่ใช่สิ่งที่ลูกพึงกระทำต่อพ่อแม่ หรือผู้น้อยพึงกระทำต่อผู้ใหญ่ที่มีพระคุณต่อเราเท่านั้น ทว่ามันคือโหมดทางความรู้สึกบางอย่างที่เราสามารถใช้เป็นพื้นของการดำเนินชีวิต

ไม่ว่าเราจะได้รับของขวัญอันประเมินค่ามิได้ การได้มีชีวิตอยู่ในจักรวาลอันงดงาม การมีส่วนร่วมในการร่ายรำอันหลากหลายของสรรพชีวิต ความรู้สึกของหัวใจที่เต้น ปอดที่หายใจ อวัยวะที่ทำหน้าที่ดูแลชีวิตอย่างแข็งขัน เหล่านี้ล้วนคือความมหัศจรรย์ของชีวิตที่ไม่อาจพรรณนาได้ด้วยคำพูด

การรู้สึกขอบคุณต่อของขวัญแห่งชีวิตคือหัวใจของคำสอนในศาสนาทุกศาสนา เป็นจุดเด่นของสายปฏิบัติ mystic ต้นกำเนิดของศิลปะอันลึกซึ้ง ทว่าในชีวิตเรากลับมักมองข้ามของขวัญล้ำค่านี้ไปเสมอๆ นั่นคือสาเหตุที่ทำไมสายปฏิบัติทางจิตวิญญาณมักเริ่มต้นด้วยการแสดงการขอบคุณ (Thanksgiving)

โจอันน่า เมซี่

ภาพวาดโดย Dori Midnight มอบให้ Joanna Macy

ในพุทธศาสนาทิเบต เราถูกเชื้อเชิญให้หยุดชั่วครู่ก่อนจะเข้าสู่การภาวนา แล้วเริ่มต้นด้วยการใคร่ครวญถึงความมีค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เพราะมนุษย์สูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น แต่เพราะมนุษย์สามารถ “แปรเปลี่ยนกรรม” ได้ ด้วยศักยภาพของจิตมนุษย์ในการรู้ตัวต่อการกระทำต่างๆ เราจึงมีความเป็นไปได้ในการสัมพันธ์กับกรรมบนพื้นฐานของอิสรภาพ

เรามีทางเลือกที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ทั้งในระดับ กาย วาจา และจิตใจ เราไม่จำเป็นต้องส่งต่อการกระทำด้วยอิทธิพลของความเคยชิน ประวัติศาสตร์ในอดีต รวมถึงความคิดที่เรามีต่อตัวเองหรือสังคมมีต่อเรา เราสามารถฝึกที่จะอยู่กับปัจจุบันอย่างตื่นรู้เต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด หรือสิ่งที่เรามองว่าเป็น “เคราะห์” หรือ “โชคชะตา” อันสะท้อนถึงสถานการณ์ภายนอกที่กระทำต่อเรา เราสามารถปลดเปลื้องจากความรู้สึกเป็นเหยื่อ แล้วสัมผัสถึงสิทธิอำนาจในตัวเอง ชีวิตมนุษย์นั้นมีค่า ถักทออยู่ในสายสัมพันธ์กับเอื้ออิงอาศัยกันกับสรรพชีวิตในความมหัศจรรย์แห่งการตระหนักรู้ของจิต ชีวิตกำลังร้องเรียกให้เราพัฒนาความสัมพันธ์ในการรู้ กระทำ และพูด ในฐานะส่วนหนึ่งขององค์รวมทั้งหมด แล้ว “เลือก” ที่จะศิโรราบเป็นส่วนหนึ่งของการร่ายรำศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตอย่างรู้ตัว

จากนั้นยังมีข้อเตือนใจข้อที่สอง นั่นคือ “ความตายนั้นเป็นสิ่งเที่ยงแท้ ทว่าเราจะตายเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครรู้” การใคร่ครวญถึงข้อเตือนใจข้อนี้ปลุกเราให้ตื่นในของขวัญล้ำค่าแห่งปัจจุบันขณะ แล้วคว้าโอกาสในการมีชีวิตอยู่ ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้บนโลก


กระทั่งในช่วงเวลามืดมิด

แม้ในช่วงเวลาที่โลกใบนี้เข้าสู่วิกฤติ ก็ไม่ได้ลดทอดคุณค่าของของขวัญล้ำค่านี้ ชั่วขณะของความสิ้นหวังหรือความเจ็บปวดที่เรารู้สึก เป็นสัญญาณว่าเราดำรงอยู่ในข่ายใยแห่งความเชื่อมโยง ที่ซึ่งเราได้รับมอบสิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ด้วยเช่นกัน อีกด้านของจุดเปราะบางแห่งการทำลายล้าง คือ จุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ ( The Great Turning Point) ที่ซึ่งความสำคัญอันเร่งด่วนต่อการใฝ่ฝันถึงสังคมแห่งการพึ่งพาตัวเองและพึ่งพากันและกันอย่างตระหนักรู้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง วิกฤติที่รู้สึกผ่านชีวิตเราอาจเป็นโอกาสแห่งการปลุกความเข้มแข็ง ปัญญาญาณการตื่นรู้ ความกล้าหาญ และชีวิตบนพื้นฐานของหัวใจที่เปิดกว้าง

มีอะไรมากมายเหลือเกินที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นและเวลาก็เหลือน้อยเต็มที หากเราสามารถเริ่มต้นด้วยเจตจำนงที่ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ด้วยความหดหู่สิ้นหวัง ความโกรธเกรี้ยว หรือพลังงานอันหมองหม่น ทว่าเชื่อมโยงกับเจตจำนงแห่งการใช้ชีวิตอันล้ำค่าอย่างมีประสิทธิภาพและผ่อนคลายที่สุด ด้วยพื้นฐานของการขอบคุณชีวิตที่มี ไม่ว่าสถานการณ์ที่เราอยู่จะย่ำแย่แค่ไหน จงเริ่มต้นด้วยการรู้สึกขอบคุณชีวิต เพราะมันคือหนทางของการเชื่อมต่อเราไปยังพลังอำนาจที่ลึกซึ้งในตัวเราและเป็นที่ที่เราสามารถวางใจได้ เพราะหากมัวแต่แบกความหนักอึ้งของความหดหู่สิ้นหวังของชีวิตในยามวิกฤติ ก็เหมือนเราหดเข้าไปอยู่ในกระดองเต่าและต้องแบกมันไปไหนมาไหน ทว่าหากเราเริ่มด้วยการรู้สึกขอบคุณชีวิต กลับมาที่ลมหายใจ กลับมาที่ร่างกาย กลับมาที่สัมผัสรับรู้ในชั่วขณะนี้ มันคือการเชื่อมโยงกับพลังอำนาจ – พื้นที่ว่างอันเปิดกว้างไร้เงื่อนไขของการรู้ตัวและการรู้สึกรู้สา

ความลับอันยิ่งใหญ่ของการรู้สึกขอบคุณ คือ มันไม่ใช่สิ่งที่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ภายนอก มันเหมือนกับการตั้งค่าหรือช่องสัญญาณที่เราสามารถกลับมาหาความรู้สึกนั้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าอะไรจะกำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัว มันจะช่วยเราให้เชื่อมต่อกับสิทธิอำนาจพื้นฐานในตัวเองที่มีอยู่แล้ว ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เหมือนท่าทีของการหายใจเข้าออกที่เรามี มันคือท่าทีของ soul ที่แต่ละเสี้ยวส่วนล้วนมีความเป็นทั้งหมดอยู่ ดังนั้นการรู้สึกขอบคุณต่อประสบการณ์ชีวิตจึงสามารถเบ่งบานไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ได้

นอกจากนั้นการรู้สึกขอบคุณยังสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือโลกที่ดีขึ้นได้ มันจะช่วยคลายการยึดมั่นในความคิดของการพัฒนาทางอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยี ที่มีรากฐานมาจากความรู้สึกขาดพร่องหรือไม่เพียงพอ แรงขับเคลื่อนที่ว่า “เราต้องการมากกว่านี้” ต้องการสิ่งของมากกว่านี้ ต้องการเงินมากกว่านี้ ต้องการความสะดวกสบายมากกว่านี้ ต้องการสนุกหรือรู้สึกดีกว่านี้ ในตัวเราแต่ละคน มีความไม่พึงพอใจต่อชีวิตที่ลึกมาก เหมือนไวรัสที่ติดต่อถึงกัน พาให้เราตกอยู่ในหลุมของความโหดร้ายไร้ความปรานีต่อสิ่งที่เป็นอยู่เพื่อสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ ดังนั้นเพียงแค่การรู้สึกขอบคุณจึงเป็นอะไรที่ปลดปล่อยอย่างยิ่ง มันคือการตระหนักรู้ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระ และเต็มที่กับปัจจุบันขณะของชีวิต


ถอดความจาก “Healing Begins with Gratitude” โดย Joanna Macy