ขอให้พรหนุนนำด้วยความพากเพียรศรัทธาตั้งแต่เริ่มต้น : บทสะท้อน Hinayana Retreat

บทความสะท้อนประสบการณ์ โดย ARIYA


รีทรีท 4 วันด้วยชื่อคอร์ส “Hinayana Retreat” ความรู้สึกกลับมาตระหนักรู้ร่างกาย พาลมหายใจที่อ่อนโยน 25 % ที่เข้าไปแตะร่างกายจนตื่นอย่างเป็นธรรมชาติ  รู้สึกเป็นมิตรต่อร่างกาย และรู้สึกแผ่ๆ ไม่รวมศูนย์ ออกรสแห่งรักต่อร่างกาย ขอบคุณตัวเองที่ได้พาร่างกายไปนั่งกับกลุ่มไร้เงื่อนไขทั้งต่อตัวเองทั้งต่อคนอื่น  ใครจะมีอาการทางกายอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาต่อใคร ตลอดคอร์สดูใจตัวเองไป เห็นร่างกายตัวเองไป รู้สึกกับร่างกายตัวเองไป โดยไม่ได้สนใจคนอื่นว่าเป็นยังไงในฝั่งเค้า หรือเค้าคิดอะไรเกี่ยวกับตัวเรามายังฝั่งเรา หรือเราคิดว่าเค้าคิดยังไงมายังฝั่งเราแต่เค้าไม่ได้คิดอะไรเลย ก็อภัยตัวเองที่สับสน แล้วกลับมาตระหนักรู้ตัวเองไม่วิ่งไปตามความคิด 

มีอาหารมื้อเที่ยงให้กินด้วย แต่เป็นอาหารที่เลือกไม่ได้ แจกอะไรมาก็กินไป จะจืดจะเผ็ดจะเย็นจะอุ่นๆ มาจากร้านอาม่าอะไรซักอย่าง กินกันในความเงียบกัน กินเสร็จก็รอคนอื่นไป และกินเสร็จไม่มีช่วงให้คอมเม้นต์ ส่วนตัวรู้สึกว่าการได้กินแบบนี้นำพาความรู้สึกถึงแก่นแกนกลางของร่างกายได้ง่าย อาหารที่มือตักนำพาเข้าในส่วนปากเคี้ยวกลืนลงสู่คอลงสู่กระเพาะเป็นการกินในความว่าง ว่างเว้นต่อการอัตโนมัติหลับใหล ตักคำต่อไปรอก่อนจะเคี้ยวคำก่อนหน้าให้หมด ว่างเว้นจากการกินไปสนทนาไป ว่างเว้นต่อความคิดตัดสินแต่ละคำ (แต่ก็มีเผลอตัดสิน คำใหญ่ไป คำเล็กไป อร่อย ไม่เผ็ดไม่อร่อย เมื่อไหร่คนอื่นจะกินเสร็จเรากินเสร็จแล้ว ฯลฯ) ว่างเว้นจากการกินไปดูทีวีไป ว่างเว้นจากการกินไปมีเครื่องดื่มรสชาติอร่อยๆ มาดื่มระหว่างมื้อ อย่างมากดื่มน้ำเปล่าล้างปากล้างความมันหรือเศษอาหารที่เกาะในซอกปากซอกฟันเฉยๆ เลยช่วยให้สร้างจังหวะในการปฏิสัมพันธ์ร่างกายขณะเดียวกันก็ตระหนักรู้บรรยากาศโดยรอบแบบชิลๆ ร่างกายไม่ถูกขัดจังหวะจากการใช้หัว (กิจกรรมนี้เลยยังเคยตัวอยู่เลย กินแบบนี้ในชีวิตประจำวันมาหลายมื้อละ แต่ก็มีตักคำต่อไปมารอระหว่างเคี้ยวคำที่อยู่ในปากอยู่เลย)

ส่วนการเดินภาวนาแบบใหม่ ช้าโคตร แต่ก็นำพาการกลับมาสู่ความรู้สึกทางร่างกายได้ง่าย ทุกการเคลื่อนไหวกายอย่างอ่อนโยนเป็นมิตร ให้ร่างกายได้รู้สึกตัวสักหน่อย ส่วนตัวรู้สึกกิจกรรมนี้ดีมาก ฝึกไม่วิ่งหาอะไรถัดไปโดยแล้วกลับมาที่ร่างกายที่เป็นเนื้อเป็นตัวเป็นบาทฐานที่ช่วยคอยดึงความสนใจที่จะไปนอกตัว การจะส่งอะไรออกไปจะมีความรู้สึกตัวจากฐานกายและรับรู้ผิดชอบความต้องการที่จะสนใจหรือกระทำการใดๆ อย่างมีใจสนใจใคร่รู้สิ่งที่ดำเนินไปมากกว่าพุ่งตัวตามคอนเซ็ปที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จอย่างแห้งแล้งหรือก้าวร้าว หรือตามปรากฎภายนอกให้ใครต่อใครเห็นว่าเป็นดังความสำเร็จแต่ไร้ใจไร้ความรู้สึกไปด้วย และมีพื้นที่ว่างให้หยอกล้อประสบการณ์อย่างไม่เคร่งครัด 

บนเส้นทางแห่งการภาวนา ที่มีวิริยะและศรัทธา และขอพรจากสายธารธรรมให้หนุนเนื่องการฝึกปฏิบัติ อย่างไม่ต้องไปคอยถามใครเป็นยังไง ทางใครทางมัน แต่ก็เคารพชีวิตกันและกัน ดังในอดีตที่มีสังฆะของเหล่านักบวช สังฆะของเหล่าโพธิสัตว์ ที่มาอยู่ร่วมกัน เพื่อฟังการถกธรรมะร่วมกัน และร่วมยินดีและสรรเสริญคำกล่าวต่างๆ จากการได้ยินได้ฟังธรรมะ ธรรมะที่ส่งต่อจากครูสู่ศิษย์โดยปราศจากการบันทึก จนมาถึง ณ ปัจจุบัน ที่มีครูบาอาจารย์ จากรุ่นสู่รุ่น มีความเพียร และมีความเปิดกว้าง ถ่ายทอดทั้งคำสอนและเทคนิคปฏิบัติโดยไม่กั๊ก เสียเวลาและความสุขส่วนตัวเพื่อตระเตรียมความรู้มาถ่ายทอดคำสอนและแนวทางปฏิบัติด้วย aspiration ที่ตั้งปฎิธานไว้อย่างไม่เคยหมดใจให้กับธรรมะและสรรพสัตว์

ก็เหลือแค่เรา ที่จะเคารพและเพียรต่อการฝึกปฏิบัติเทคนิคต่างๆ ที่ได้รับมาอย่างไร

ส่วนตัวเดี๋ยวนี้ผ่อนคลายต่อตัวเอง ไม่ตัดสินหรือเปรียบเทียบตัวเอง ทั้งในการฝึกปฏิบัติ หรือการใช้ชีวิตส่วนตัว  อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง ก็เติบโตบนเส้นทางแห่งการฝึกตนที่ไม่หลีกหนีชีวิตจริง เผชิญกับสถานการณ์ที่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด รับรู้แล้วปล่อยไป อะไรที่ต้องจัดการก็จัดการเสร็จแล้วปล่อยจากเหตุการณ์หนึ่ง เว้นว่าง ไปสู่เหตุการณ์หนึ่งด้วยใจว่างๆ ไม่มีผลบั้นปลายอะไรที่ต้องสมบูรณ์แบบหรือต้องได้รับความสมบูรณ์แบบจากใครหรือต้องเป็นอะไร ไม่มีอะไรเที่ยง บางวันคนเค้าก็มาคุยกับเราดี บางวันก็ไม่อยากคุยด้วยซะงั้น ความดีก็ไม่ใช่วัตถุและเราก็ไม่ได้กำลังมาสะสมอะไร ไม่ไปวางตัวสลักสำคัญกับที่ไหนหรือให้กับใคร มองหา gap ไป เราไม่ได้มาฝึกเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือได้รับความรู้สึกดีๆ ไม่ติดอยู่ในความคิดวนให้ตัวเองรู้สึกไม่ดีพอเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือติดอยู่ในความคิดรู้สึกผิดที่แตกต่าง ได้ร่างกายที่เกิดเป็นมนุษย์นั้นล้ำค่าด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และอะไรก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอนแบบที่คาดหวังล่วงหน้ามากี่เหตุการณ์แล้ว

การฝึก embodiment สลับกับฝึกการปล่อยช่วยให้รู้สึกทั่วตัวและผ่อนคลายจากร่างกาย ส่งผลต่อจิตใจว่าตัวเราที่เป็นตัวของตัวเองไม่ได้เป็นปัญหามาจากไหนเลย สังฆะเองก็กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา กลุ่มเล็กแต่ก็ศรัทธาแบบไม่ต้องมี check list มาวางกรอบว่าตกลงศรัทธากันจริงป่าว ตอนเลิกมีผู้เข้าร่วมมาถาม คอยดึงๆ กันมาหรือ อันนี้ตอบเลยว่าไม่ใช่อย่างงั้น ถึงมีเทคโนโลยีมือถือให้ติดต่อพูดคุย ก็ไม่เห็นต้องไปออกตัวขอความเห็นด้วยอะไร แต่แต่ละคนมีวาระของเค้าเอง มาฝึกได้ก็มาเอง มาฝึกไม่ได้ก็ยังไม่มา ถ้าอยากจะออกก็ไปคุยกับครูก็จะดี ศรัทธามันมาจากตัวแต่ละคนล้วนๆ ไม่ต้องพูดเยอะ อีกทั้งการเกาะติดตัวบุลคลไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย 

ขอให้สายธารธรรมได้โปรดอวยพรอย่างไม่ขาดสาย ทั้งกิจกรรมการสร้างทางสถานที่ ทั้งกิจกรรมปริยัติ ปฏิบัติ ปฎิเวธ ให้ครูบาอาจารย์และทีมงานมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี สรรค์สร้างอย่างสร้างสรรค์ส่งแรงบันดาลใจให้กันไปนานๆ ในยุคที่คนมองไม่เห็นคุณค่าของการลงแรงก่อนจะมีอะไรเสร็จออกมา ไม่อยากเอาด้วยละ แต่อยากประสบความสำเร็จอย่างง่ายๆ เช่น เป็น influencer, เป็น coach, เป็น idol, ฯลฯ ขอให้กิจกรรมการงานต่างๆ ที่มีฐานกายเป็นฐานสำคัญ เป็นฐานที่ยังกลับมาเพื่อเป็นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตส่วนตัว ต่อการใช้ชีวิตกับครอบครัว ต่อการใช้ชีวิตกับสังคม เจริญเติบโตงอกงาม