“จงเป็นเธอที่เป็นเธอ” : ย้อนกลับไปเป็นตัวเอง เพื่อก้าวเดินต่อสู่พันธกิจชีวิต

บทความโดย THANYA วัชรสิทธา
สะท้อนประสบการณ์จากชั้นเรียน Life Mission กับวิคตอเรีย สุบีรานา


การเดินทาง ประกอบไปด้วยผู้เดินทาง แผนที่ สัมภาระ และจุดหมาย

ตั้งแต่ได้รู้จักกับวัชรสิทธา ได้ฟังเรื่องราวเนื้อหาของคอร์สเรียนและกิจกรรมที่ผ่านมาหลายเรื่อง หนึ่งในชื่อที่ได้ยินบ่อยมากที่สุด คือชื่อของครูวิคตอเรีย และคอร์ส Life Mission ที่ฮ้อตฮิตอันดับต้นๆ ซึ่งแต่ละเรื่องที่ได้ฟังเกี่ยวกับวิคตอเรีย จะมาในแบบ “มันเข้มข้นมาก” “วิคตอเรียนี่ของจริง” “ตอนนั้นคือ วู้วว ไปเลย” “ของงี้ต้องรอเจอเอง” 

ได้ยินมาแบบนี้ ก็เลยตั้งตารอคอร์ส Life Mission ว่าดูซิ เราจะได้เจอกับอะไรบ้าง… 

พอได้เรียนก็พบว่า เสียงลือเสียงเล่าอ้างเหล่านั้นไม่ได้เกินจริงเลย 

Life Mission เอาของในกระเป๋าเดินทางมาเรียงเป็นแผนที่ชีวิต

ชื่อและคำจำกัดความของคอร์สนี้ฟังแล้วยิ่งใหญ่มาก เราจะสามารถมาค้นพบพันธกิจชีวิต ค้นพบคำตอบที่ว่าทั้งชีวิตเรานี้เกิดมาเพื่ออะไร ภายในเวลาสองวัน มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ เหรอ ในหนังซูเปอร์ฮีโรหลายๆ เรื่อง  พวกเขายังใช้เวลาสับสนไปกว่าครึ่งเรื่อง จึงจะเจอเป้าหมายแล้วลุกมาต่อยตีกับเหล่าร้ายกู้โลก ตัวเราที่ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ จะเจอพันธกิจที่มีความหมายและเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกนี้ ภายในสองวันได้ยังไง

สิ่งที่วิคตอเรียทำกับพวกเราในชั้นเรียน ไม่ใช่มาสร้างสถานการณ์ให้เรามาฝึกตัดสินใจ มาบ่มเพาะจริยธรรมในอก หรือมามองหาแสงจากอนาคต สวนทางเลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือเป็นการส่งพวกเราแต่ละคนกลับไปเดินเล่นในอดีตของตัวเอง

“So the black seeds, the black emotion of the past, they get settled. Oh my life is very good! Because of my negative plague, now I understand! This is my asset that helping me for  my life mission.

Whatever happened in my past, it was a delusion of my feelings. It was not real.

So for your life mission, seed in the black, how many things you still have in black. Turn it to your asset. For some reason everything that happened to you, anything in your life is useful. You have to find out why it happened to me… 

Victoria Subirana

สิ่งที่กำหนดทิศที่การเดินทางมุ่งไป คือจุดหมาย

เพื่อให้เข้าใจวิธีการค้นพบพันธกิจชีวิต วิคตอเรียเล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาให้พวกเราฟัง สภาพแวดล้อมตอนเกิดที่ยากลำบาก ไม่มีเงิน ไม่มีโอกาส เป็นเด็กที่ต้องดิ้นรนทำงาน ครอบครัวไม่สมบูรณ์ แม่ไม่รู้หนังสือ พ่อติดเหล้า ต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ค้นพบพันธกิจชีวิต คือการการเปิดโรงเรียนเพื่อเด็กยากจนในประเทศเนปาล เธอก็พบว่าทั้งหมด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก เป็นสิ่งที่จะทำให้วิกตอเรียสามารถทำพันธกิจชีวิตได้สำเร็จ มันทั้งทำให้เธอเข้าใจเด็กๆ และเป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการช่วยเหลือ ตอนนั้นสายตาเธอกระจ่างชัด การตระหนักรู้แผ่ขยายออกไป ปรากฏภาพชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรต่อในชีวิต และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมสิ่งต่างๆ ในอดีต ต้องเกิดขึ้นเช่นนั้นกับเธอ

จากตรงนั้น วิคตอเรียก็ได้พัฒนากระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ปัจเจกได้พบเจอกับพันธกิจชีวิตของตัวเอง ด้วยการทำงานกับตัวตนและอดีต กลับไปใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เหล่านั้นของแต่ละตัวตน และที่สำคัญที่สุดคือยอมรับมันทั้งหมด ยอมรับมันอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นสิ่งร้ายหรือสิ่งดี วิคตอเรียบอกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นทรัพย์สิน เป็นสมบัติของเรา อยู่ในกระเป๋าเดินทางที่เราลากไปด้วยตลอดเส้นทางชีวิต 

สิ่งที่อยู่ในอดีตนั่นเอง จะถอดรหัสออกมาเป็นพันธกิจชีวิตของแต่ละคน คำตอบของพันธกิจไม่ได้อยู่ข้างนอกที่ไหนเลย แต่มีรออยู่แล้วข้างใน

“The point is to accept them. You are poor or rich, that doesn’t matter! Accept whatever happened to you in your childhood, no judge, no rejection. 

Accept your condition. You just analyze what you learn and accept all that without changing anything.”

Victoria Subirana

แผนที่ทำให้เรารู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน เลี้ยวตรงไหน อยู่บนถนนเส้นอะไร 

กิจกรรมที่พาเราเดินเข้ามาข้างในตัวตนของเรา คือการสร้างตุ๊กตา “ตัวเรา” ขึ้นมา จากการแปะกระดาษสามสี ที่เป็นสามส่วนของชีวิตเราเข้าด้วยกัน หนึ่งคือ self หรือตัวตน เราต้องเขียนสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งแต่ลักษณะภายนอกรูปร่างหน้าตา นิสัย ความสามารถ สติปัญญา ลักษณะที่ดีและไม่ดี ทุกๆอย่างที่จะนึกได้ เขียงลงไปบนแผ่นกระดาษเล็กๆและติดลงบนตุ๊กตา กระดาษสีต่อมา คือส่วนของ family เขียนเกี่ยวกับครอบครัวของเราในทุกด้านเช่นกัน สมาชิกครอบครัว ความสัมพันธ์ ฐานะ ระดับทางสังคม กระดาษสีที่สามคือสังคมที่เราอยู่ ที่ทาง บทบาทอาชีพ ชุมชนที่เราอยู่ กลุ่มสังคม การศึกษา 

เขียนสิ่งเหล่านี้ลงในกระดาษสีแผ่นเล็กๆ แล้วค่อยๆ แปะลงบนตุ๊กตาตัวเรา ในขณะที่เขียนและแปะ ให้เราใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านั้น อย่าทำไปส่งๆ แต่กลับไปทบทวน มองให้เป็นข้อเท็จจริง เขียนไปตามจริง ไม่ต้องประดิษฐ์อะไรใหม่ขึ้นมา ตัดความรู้สึกที่ผูกติดออกไป เช่น เขียนลงไปว่าพ่อติดเหล้า ก็เขียนลงไปตามความเป็นจริง อย่าเอาความทุกข์ ความเจ็บแค้นจากตรงนั้นมาด้วย หรือเขียนถึงความสามารถของเรา ก็อย่ายึกยักกลัวว่าจะดูอวดเก่ง เขียนออกมาเลยตามความจริงที่เราเป็น

กระบวนการนี้เป็นเหมือนการเอาของที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางชีวิตที่ลากติดตัวมาตลอดตั้งแต่เกิด เทออกมาวางแผ่ทีละชิ้น ทีละชิ้น พิจารณาทุกชิ้น และยอมรับมันทั้งหมด

ตรงนี้เอง ที่อยู่ดีๆ ก็ปะทะเข้ามาในตัวเรา จนเกิดอาการล้นตื้อ น้ำตาไหลออกมาเองแบบเปิดก๊อก

สัมภาระในกระเป๋าเดินทาง มันอยู่กับเราอย่างมีสาเหตุ คือสิ่งที่เราเลือกแล้วว่าจะลากมันมาด้วย และสิ่งเหล่านั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง

หันกลับไปอ้าแขนยอมรับ และกอดขอบคุณทุกสิ่ง

ตอนต้นที่ฟังเรื่องเล่าของวิคตอเรีย ก็กุมขมับคิดหัวแตก เราจะเอาปมอะไรมาเขียนดี ชีวิตที่เกิดมาอยู่บนโลกช่วงระยะเวลาไม่สั้นไม่ยาวนี้ไม่ได้ต้องประสบความทุกข์ยากอะไรเลยด้วยพื้นฐานสังคมและครอบครัว Life Mission ของเรามันจะออกมาเป็นอะไรที่หน่อมแน้มแน่ๆ ชีวิตเรียบๆ สุขสบาย เต็มไปด้วยความสุขและความรักจะเขียนเป็นแผนที่อะไรได้

แต่ในขณะที่แปะกระดาษลงไปบนตุ๊กตาตัวเรานั้นเอง ข้อเท็จจริงที่ว่า ตุ๊กตาตัวนี้เต็มไปด้วยความสุขและความรักจากกระดาษทุกสี ก็กระแทกหัวใจอย่างรุนแรง แรงเหมือนจู่ๆก็เกิดน้ำไหลโครมมาท่วมสันเขื่อน จนแทบจะกั้นน้ำไม่อยู่และเอ่อล้นออกมา

นอกจากการยอมรับปมปัญหา การยอมรับความดีงามในชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำในหลายๆมิติ ครอบครัว การเงิน การศึกษา โดยเฉพาะการเข้าถึงโอกาส แต่ละคนมีไม่เท่ากันอย่างน่าตกใจ พอเราอยู่ในจุดที่มีโอกาสมากกว่าใครหลายๆคน ในตำแหน่งแห่งที่นี้เอง ทำให้เกิดความรู้สึกผิดกับ Privilage ที่ตัวเองมี ทำไมเรามีแต่คนอื่นไม่มี เราคู่ควรอย่างไรกับสิ่งนี้ บ่อยครั้งที่ไม่กล้าแสดงมันให้คนอื่นรู้ว่าเรามี แม้แต่ตัวเองยังไม่ค่อยกล้าที่จะยอมรับและหยิบมาใช้ ได้แต่ขัดแย้ง ระแวงสงสัยกับสิ่งที่เราถือไว้อยู่ในมือ

ขั้นกว่าของการไม่กล้ายอมรับ Privilege คือการตั้งคำถามกับความรักที่ได้รับมาจากผู้อื่น

กระดาษแผ่นเล็กเหล่านั้น ทำให้รู้ว่าตุ๊กตาตัวนี้ประกอบสร้างขึ้นมาจากความรักและความปรารถนาดี พ่อแม่รักเรา ปู่ย่ารักเรา ครอบครัวทั้งหมดรักและสนับสนุนการเติบโตของเราด้วยความหวังดี เพื่อนๆ ผู้คนรอบตัวเราทุกสังคม โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ฝึกงาน ที่ทำงาน กลุ่มสังคมทุกกลุ่ม พอมองย้อนกลับไป ก็พบแต่ความปรารถนาดีและสายสัมพันธ์ที่จริงแท้ งดงาม 

เมื่อเอาออกมาวางเรียงโดยละทิ้งทั้งการคิดตัดสิน และอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิด ความระแวง ความโอ้อวด ความเหลิง ความยินดี ความตื้นตัน ที่เรามีกับมันตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวกั้นขวางไม่ให้เรายอมรับสิ่งดีๆ เข้ามาอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ในกระเป๋าเดินทางของเราเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า เมล็ดพันธุ์ที่ดีงาม แก้วมณีสุกใส นอนรอให้เราหันกลับไปยอมรับมัน

การใคร่ครวญกับอดีตตัวเองทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เรามี ตระหนักได้ว่าของเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินที่เรามีสิทธิทั้งปวงที่จะถือครอง ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย จากการตระหนักรู้นี้ทำให้เกิดความกล้าที่จะยืนยันสิทธิ์ในการครอบครอง รับทั้งหมดเข้ามาไม่แยกขาดกับตัวเองอีกต่อไป  

หัวใจที่โดนกระแทกตอนนั้น เกิดเพียงความรู้สึกเดียวท่วมท้นขึ้นมา คือความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

อย่างหนึ่งที่ไม่ทำให้หลงทาง คือการยืนยันตัวเอง รู้ว่าตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน เราคือใคร

ขั้นแรกของการเริ่มค้นหาพันธกิจชีวิต คือกลับไปยอมรับตัวตนของเรา ยอมรับทุกเมล็ดพันธ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อนำมาถอดรหัส เขียนแผนที่ว่ามันชี้ว่าชีวิตเราจะมุ่งไปสู่อะไร 

ถามว่าสองวันของคอร์ส Life Mission เจอโคว้ทเด็ด ประโยค “พันธกิจชีวิตของฉันคือ—” รึเปล่า ตอบเลยว่าไม่ออกมาชัดเจนฟันธงแบบนั้น แต่กระบวนการที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเองอีกครั้ง ทำให้เรารู้ที่ทางว่าเรายืนอยู่ตรงจุดไหนของแผนที่ และก็พอเห็นรางๆ ว่าข้าวของในอดีตทั้งหมดเหล่านั้นจะนำพาเราไปในทิศทางไหน 

อย่างน้อยก็ไม่เคว้งคว้างหลงทางแล้ว

แพ็กกระเป๋าและเดินทางต่อ

พอปรับตัวกับน้ำที่เอ่อล้นเขื่อนในตอนนั้นได้ ยอมรับความรัก ความดีงาม โอกาส สายสัมพันธ์ที่ดี ทุกๆสิ่งเหล่านั้นให้มาเป็นส่วนหนึ่งของเราโดยไร้ความกังขา เราก็กลายเป็นนักเดินทางที่พักผ่อนเต็มที่ กินอาหารเต็มอิ่ม พร้อมที่จะเดินทางต่อไม่ว่าเส้นทางจะทอดไปอีกยาวแค่ไหน กระเป๋าเดินทางเต็มไปด้วยของดีขนาดนี้ จะนอนกอดไว้เฉยๆ ก็เสียของ มันรอที่จะออกไปทำประโยชน์ให้กับตัวเรา คนรอบตัว สังคม และโลกใบนี้จะแย่แล้ว มีทั้งเสียงเรียกและแรงสนับสนุนที่ส่งให้ออกเดินทางต่อไป

อย่ากลัวอดีตที่มืดมน อย่าปฏิเสธสิ่งดีงาม เอามันมาใช้เป็นเครื่องมือให้เราเดินทางสู่พันธกิจชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามีสาเหตุที่มา และทั้งหมดนั้นเป็นของจริง

พันธกิจชีวิตจะเล็กจะใหญ่อย่างไร ไม่ใช่ unknown ที่น่ากลัวเลย และแม้ต่อให้จะสับสนทิศทางบ้าง แต่อย่างไรเราก็มั่นใจในตัวตนและสิ่งที่เรามี แผนที่ สัมภาระ ตัวผู้เดินทาง ทั้งหมดพร้อมเเล้วที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า

Who knows where this road may go?

Back to who I was,

On to find my future.

Things my heart still needs to know.

Yes, let this be a sign!

Let this road be mine!


“Journey to the Past” 
from Anastasia