“แม่มด” จิตวิญญาณที่เป็นอิสระ : สนทนากับ อัน อันธิฌา แสงชัย

บทสัมภาษณ์ โดย THANYA วัชรสิทธา

 
(Painting: Gerard Valcin/Haitian Art Society.)


โลกของแม่มด โลกของไสยเวท มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก ไม่ได้มีแม่มดอยู่แบบเดียว และมีคนที่อยู่ในสายปฏิบัตินี้ในทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าคำเรียกแต่ละท้องถิ่นจะเรียกเขาว่าอะไรก็ตาม

อัน อันธิฌา แสงชัย


นอกจากบทบาทอาจารย์มหาวิทยาลัย บทบาทนักเคลื่อนไหวทางสังคม ที่หลายๆคนอาจคุ้นเคยเมื่อพูดถึงอัน อันธิฌา แสงชัย แล้ว ยังมีบทบาทอีกด้าน อีกเส้นทางหนึ่งที่เดินย้อนกลับเข้ามาในโลกของจิตใจ ซึ่งก็คือเส้นทางด้านจิตวิญญาณ ฟื้นฟูพลังภายในเพื่อเยียวยาตัวเองจากข้างใน และแผ่ขยายไปสู่การเยียวยาผู้อื่น ที่หลายคนอาจยังไม่เคยได้รู้ถึงบทบาทนี้ของพี่อัน 

เรามาชวนพูดคุยทำความรู้จักเส้นทางด้านนี้ ในบทบาทของ “แม่มด” ที่พี่อันนิยามตัวเอง ความลึกลับ พลังไสยเวท และความเชื่อต่างๆของวิถีแม่มดเช่นนี้ เริ่มต้นจากอะไร และมีความเชื่อมโยงกับสังคมรอบตัวเรามากแค่ไหน เรามาฟังเรื่องราวจากแม่มดคนนี้กัน 

พี่อันแนะนำตัวเองคร่าวๆ ได้มั้ยคะ

พี่เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สอนวิชาเกี่ยวกับปรัชญา ศาสนาและศิลปะบำบัด แล้วก็ทำงานเคลื่อนไหวทางสังคมในประเด็นเรื่องเพศด้วย ตอนนี้สิ่งที่สนใจมากๆ ก็คือการทำงานด้านการบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบายสีบำบัด และ crystal healing พลังงานบำบัด ความสนใจเหล่านี้เลยทำให้พี่ศึกษาเรื่องพลังงาน เรื่องศาสนา สนใจเรื่องความคิดความเชื่อของคน

ถึงจุดนึง พี่ก็นิยามตัวเองว่าเป็นแม่มดด้วย เพราะว่าสนใจและเริ่มฝึก เริ่มที่จะทดลองสิ่งที่คนเขาเรียกกัน อาจจะเป็นเรื่องของพลังงาน เวทมนตร์ การใช้ศักยภาพทางจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อดูแล เยียวยาสุขภาพหรืออารมณ์ ตอนนี้เราเอาสิ่งนั้นมาใช้ดูแลเรื่อง Spiritual Well-being หรือสุขภาวะทางจิตวิญญาณในชีวิตของผู้คน

พี่ทำงานในประเด็น LGBTQ+ ด้วย แล้วก็ทำงานกับคนชายขอบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ที่อยู่กับเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งประเด็นนี้ก็มีความสัมพันธ์กับการดูแลเรื่องสุขภาพด้วย ในส่วนตัวพี่เองพี่ใช้กับตัวเองก่อน  แล้วพอพี่ทำงานกับนักกิจกรรม ก็เลยได้ใช้กับคนเหล่านั้นด้วย

พี่อันเริ่มเป็น “แม่มด” ได้ยังไงคะ

พี่สนใจก่อน ที่จริงมันเกิดจากการที่เราตั้งคำถามกับศาสนามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พี่เคยมีความฝันว่า พี่อยากเป็นพระ แต่ว่าตอนเป็นเด็ก ในเมืองไทยผู้หญิงที่จะเป็นนักบวชในศาสนาพุทธมันมีแต่แม่ชี แล้วพระที่พี่อยากเป็น มันไม่ใช่แม่ชี มันจะต้องเป็นพระจริงๆ  สามารถเทศน์ สามารถที่จะเป็นผู้บรรยายหรือว่าเป็นผู้สอนธรรมะได้ แต่ว่าพอเราไปวัด เราเห็นว่ามันมีความไม่เท่าเทียมทางเพศ และความที่เราเป็นผู้หญิง เราจะไม่มีทางได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ เราก็จะต้องมีบทบาทเป็นแม่ชีที่ดูแลความเรียบร้อยในวัดมากกว่าที่จะเผยแผ่ศาสนา พูดง่ายๆ หน้าที่ของเราจะไม่ใช่ผู้นำทางศาสนา 

อันนั้นคือความคิดตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ (หัวเราะ)  ตั้งแต่ประมาณแบบ..อยู่ประถมอ่ะ สงสัยเป็นแม่มดมาตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมเป็นพระไม่ได้ล่ะ งั้นก็ไม่เป็นละ ไม่เอาดีกว่า พี่ก็เลยเริ่มตั้งคำถามกับศาสนาพุทธ แล้วพี่ก็เห็นแบบนี้ในทุกๆ ศาสนา เลยเริ่มสนใจเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องศาสนา พี่สนใจทุกศาสนา แล้วก็รู้สึก ไม่เอาอ่ะ เรารู้สึกถึงความไม่เท่าเทียม เราไม่ได้เป็นคนที่กำหนดบทบาทหรือว่ามันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีอำนาจ มีพลัง มันต้องอิงอาศัยการตีความคำสอนจากคัมภีร์ สมมติว่าคัมภีร์เดียวกันเราอ่านแล้วเราตั้งคำถาม แต่ในศาสนากระแสหลักมันมีคำตอบสำเร็จรูปอยู่แล้ว มีการตีความสำเร็จรูปอยู่แล้ว

โครงสร้างเหล่านี้นี่เอง ช่วงวัยนึง พี่ก็เลยตัดสินใจที่จะนิยามตัวเองว่าไม่นับถือศาสนา พี่ศึกษาทุกศาสนานะ แต่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรแบบทางการเลย เพื่อจะไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของศาสนาใดๆ เพื่อความเป็นอิสระของเราที่จะศึกษาค้นคว้าทางจิตวิญญาณแล้วก็เติบโตด้วยตัวเอง พี่ไม่รู้หรอกว่านี่มันเป็นพื้นฐานที่ถึงจุดนึงแล้วมันทำให้เราเข้าใจว่าความเชื่อเรื่องพลังอำนาจทางจิตวิญญาณนั้นอยู่ในตัวเราเอง ทุกคนมีมัน 

พี่ก็เริ่มศึกษากว้างขึ้น เรื่องศาสนากระแสรอง ศาสนาที่ถูกเบียดออกไปจากสังคม ถูกมองว่างมงาย ถูกมองว่าอันตราย ถูกมองว่าไม่ดี เป็นพวกไสยศาสตร์ เป็นมนตร์ดำ ในที่สุดวันนึง พี่ก็เริ่มมีประสบการณ์ตรงนั้น เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เราสามารถสัมผัสได้เอง สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเองและครอบคลุมสิ่งต่างๆที่เราศึกษาค้นคว้าไว้ด้วยตัวเอง ถึงจุดนึงพี่ก็มีความมั่นใจเพียงพอที่จะบอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังเป็นสามารถเรียกว่า “แม่มด” ได้

ในขณะเดียวกัน พี่ก็พบว่าโลกของแม่มด โลกของไสยเวท มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก ไม่ได้มีแม่มดอยู่แบบเดียว และมีคนที่อยู่ในสายปฏิบัตินี้ในทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าคำเรียกแต่ละท้องถิ่นจะเรียกเขาว่าอะไรก็ตาม 

ตรงนี้ซับซ้อนค่ะ บางคนใช้ไสยเวทแต่จะเรียกหรือไม่เรียกตัวเองในความหมายเดียวกับคำว่าแม่มดหรือ witch ก็ได้ คำว่าแม่มดที่ใช้ถอดความคำว่า witch ก็อาจจะแปลตรงตามความหมายในภาษาอังกฤษ หมายถึงแม่มดที่ถือตาม Wicca หรือศาสนาโบราณทั้งในยุโรป อัฟริกา หรือภูมิภาคอื่น ชาว Wiccan หลายคนก็ไม่ได้เรียกตัวเองว่า witch หรือถ้าพิจารณาคำว่าแม่มดตามบริบทของชุมชนจิตวิญญาณในบ้านเรา ก็จะครอบคลุมถึงพลังอำนาจจากมดลูก ผู้นำทางจิตวิญญาณ หมอบ้าน ผู้เยียวยา ผู้ทำนายที่เป็นผู้หญิง 

โดยส่วนตัวพี่เลือกที่จะเรียกผู้ใช้ไสยเวทที่มีความเป็นอิสระในการกำหนดวิถีปฏิบัติของตัวเองโดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงทั้งในเชิงกายภาพ มีมดลูก หรือในเชิงจิตวิญญาณ เช่นทรานส์เจนเดอร์หรือเพศอื่นๆ ว่าแม่มดไว้ก่อน ในความหมายนี้แม่มดนี้ครอบคลุมทุกเพศ ไม่ใช่แค่ผู้หญิง มันรวมถึงผู้ชาย รวมถึงคนที่ไม่ได้เป็นเพศใดเพศหนึ่ง หรือคนที่ระบุว่าการเป็นแม่มดคือเพศของเขาค่ะ กรณีของผู้ชายที่ใช้ไสยเวท ถ้าไม่ใช่นักบวชในศาสนาหลัก บางทีเขาก็จะถูกเรียกว่าพ่อหมอ และมีจารีตที่สืบสายครูบาอาจารย์ที่เป็นระบบ ชัดเจนมากกว่า เขามีสถาบัน เช่นเดียวกับผู้หญิงที่มีครูก็เป็นแม่หมอ มดกับหมออันนี้เราวิเคราะห์ผ่านเรื่อง gender ได้นะคะ มันมีการแบ่งแยกในเรื่องนี้อยู่ ขณะเดียวกันก็มีผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในสายปฏิบัติแบบนั้น ก็เป็นพ่อมดแทนที่จะเป็นพ่อหมอหรือพ่อครู ซึ่งมันน่าสนใจมาก 

สิ่งเหล่านี้เอง ทำให้พี่ค่อยๆ ศึกษาเอง มองหาการสร้างชุมชน เริ่มมีกลุ่มเพื่อนที่แลกเปลี่ยนเรื่องพวกนี้ได้ พี่สังเกตเห็นความสนใจของคนในสังคม โดยเฉพาะพื้นที่ในโซเชียลมีเดีย ที่มีกลุ่มไว้แลกเปลี่ยนกัน สามารถที่จะรวมกลุ่มกันได้ง่ายขึ้น ได้เก็บข้อมูล ศึกษาบางเรื่องด้วยกันได้ง่ายขึ้น แม้จะอยู่กันคนละที่ แม้ว่าจะสนใจกันในแง่มุมที่ต่างกัน ทั้งต่างชาติต่างศาสนาด้วย ก็สามารถเข้ามารวมกลุ่มได้ พี่พบว่ามันเกิดความสนใจที่เติบโตมากนะ รวมทั้งสื่อด้วย แบบ แฮรี่ พอตเตอร์ หนัง การ์ตูนแม่มด ที่เมื่อก่อนมันเคยมองว่า แม่มดเป็นตัวร้าย แบบ เอาแอปเปิลมาให้สโนว์ไวท์กินแล้วสโนว์ไวท์ก็สลบไป แบบต้องแต่งชุดยาวๆ ดำๆ อยู่ตรงข้ามกับนางฟ้าที่ใส่ชุดขาวๆ กระทั่งแฮรี่ พอตเตอร์ กลายเป็นวีรบุรุษขึ้นมา 

พี่ว่ามันก็คล้ายๆ กันกับการที่คนเริ่มตั้งคำถามเรื่องศาสนากระแสหลักที่มีลักษณะอำนาจนิยม ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ที่มันท้าทายในโลกทุกวันนี้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องความหลากหลายทางเพศ ผู้นำศาสนาไม่สามารถจะเป็นผู้เยียวยา เป็นที่พึ่ง หรือว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณได้ คนจำนวนมากก็เลยหันกลับมาหาอำนาจภายในตัวเอง ซึ่งก่อนหน้าจะมีศาสนาทางการ มนุษย์ก็มีอำนาจทางจิตวิญญาณและเชื่อมั่นในจิตวิญญาณอื่น ๆ อยู่แล้ว


พอจะเล่าบทบาทในฐานะแม่มดได้มั้ยคะ สมมติในแฮรี่ พอตเตอร์ เขาขี่ไม้กวาด เสกคาถา พี่อันทำยังไงบ้างหรอคะ

พี่กำลังหาดาวน์ไม้กวาดอยู่ค่ะ (หัวเราะ)  พี่ว่ามันมีความหลากหลายมากเลยนะ และทุกคนที่เรียกตัวเองว่าแม่มด เขาจะมีความเข้าใจที่เฉพาะเจาะจงของเขา อาจจะมีจุดคล้ายจุดร่วมกัน แต่มันจะต่างกันมากเลย ที่มาที่ไป คำนิยาม ซึ่งวิธีการปฏิบัติ พิธีกรรมต่างๆ ส่วนใหญ่มาจากการเรียนรู้ฝึกฝนเฉพาะตน

โดยส่วนตัว บทบาทการเป็นแม่มดสำหรับพี่ คือการเป็นนักเยียวยา นักบำบัด

พี่ใช้พลังอำนาจเหล่านี้ ซึ่งมันก็เป็นพลังอำนาจที่ทุกคนมีนะคะ มนุษย์เป็น spiritual being แต่เราอาจจะไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ในตัวเองมาก่อนเท่านั้นเอง เราเรียนรู้ที่จะฟื้นฟูพลังอำนาจเหล่านี้แล้วก็เชื่อมโยงมันกับโลกธรรมชาติ โลกทางจิตวิญญาณที่เราอาจจะมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเรียกยังไงก็ตาม แล้วทำงานร่วมกัน เราจะพบหนทาง

ตอนแรกพี่ก็เริ่มจากที่พี่ใช้สิ่งเหล่านี้ดูแลตัวเอง เป็น Self-care แบบง่ายๆ เลย  ที่เราจะใช้ทำให้เรารู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ดูแลตัวเองจากความกลัว จากบาดแผลต่างๆ ที่มี ความเจ็บปวดที่เราเคยผ่านมา พี่ก็ใช้สิ่งเหล่านี้แหละค่ะในการดูแลตัวเอง แล้วก็ค่อยๆ มั่นใจเครื่องไม้เครื่องมือที่มี ค่อยๆ ศึกษาทั้งในเชิงทฤษฎีและในเชิงปฏิบัติ หาข้อมูลจากคนที่ทำงานต่างๆ เหล่านี้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบ จนกระทั่งพี่ก็ค่อยๆ ลองใช้มันในการดูแลคนอื่น ดูแลชุมชน ดูแลพื้นที่บางพื้นที่ นั่นก็เป็นสิ่งที่พี่มองตัวเอง

แล้วพี่อันใช้เครื่องมืออะไรในการทำสิ่งเหล่านี้

(หัวเราะ) พี่ใช้… เอ่อ จะเรียกว่าอะไรดี (หัวเราะ) แหม ก็เขินๆ …ถ้าเป็นคำที่กลางมากๆ นะคะ ในภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น energy เป็นพลังงาน แต่พอมาเป็นคำไทย เวลาเราใช้ภาษาไทยมันจะเปื้อนอย่างอื่นเข้ามานะคะ อย่างเช่นที่พี่ใช้คำว่าพลังอำนาจ มันก็จะปนในเรื่องของทางสังคมเข้ามาเพราะคำว่า “อำนาจ” ปนเปกับความหมายเชิงสังคม ส่วนตัวกระบวนการในการใช้พลังเหล่านี้ ก็จะเรียกว่าไสยเวท

ไสยเวทคือวิธีการใช้อำนาจ วิธีการใช้พลังของเรา

คำว่าไสยเวท มันดูโยงไปกับความมูเตลู

ใช่ค่ะ ที่จริงมูเตลูมันเป็นคำที่คนรุ่นใหม่ คนในโซเชียลมีเดียเขาคิดขึ้น ทำให้ไสยศาสตร์ที่คนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระมันใกล้เราขึ้น คำว่ามูเตลูปุ๊ปมันน่ารัก มันเข้าถึงง่าย มันดูเป็นคนรุ่นใหม่ แบบคนรุ่นใหม่สายมูอะไรอย่างงี้  อาจจะไปหาเจ้าทรง อุ้ยตายแล้ว เชื่อของอะไรพวกนี้ด้วยหรอ ก็ตอบ เอ้อ ก็เป็นสายมูไง มันก็คือการทำให้ของบางอย่างที่มีอยู่แล้วทำให้ทันสมัยขึ้น

พอเป็นสายมู เครื่องราง คนทรง มันฟังดูเป็นพลังอำนาจจากภายนอกมากกว่า

มันมีพลังอำนาจอยู่หลากหลายมิติมากเลยค่ะ ดังนั้นไสยเวทคือศาสตร์ในการใช้ของพวกนี้ ซึ่งอาจจะหลากหลายวิธีการมาก เช่น แหล่งอำนาจนั้นมาจากไหน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน เป็นเทพองค์ไหน เป็นผี หรือว่าเป็นปีศาจ หรือว่าเป็นบรรพบุรุษ หรือว่าเป็นบุคคลสำคัญ หรือว่าเป็นไกอา คือ Mother Earth 

มันเป็นพลังอำนาจอะไร หรือว่าเป็นพลังอำนาจของเราเอง เป็นจิตวิญญาณของเราเอง เป็นเจตจำนงของเราเอง หรือว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเรากับแหล่งอำนาจข้างนอก แหล่งพลังอำนาจในธรรมชาติ ธาตุดินน้ำลมไฟ หรือว่าดวงจิตดวงวิญญาณที่เราทำงานด้วย หรือว่าดวงดาวในจักรวาลวิทยาที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เราใช้พลังอำนาจอันไหน ไสยเวทก็แตกต่างกันมาก

ไสยเวทไม่ได้เป็นของที่นอกรีต นอกศาสนานะคะ จริงๆ ทุกศาสนาในโลกนี้ พุทธ คริสต์ อิสลาม ใช้ไสยเวททั้งสิ้น ในพิธีศักดิ์สิทธิ์


การเป็นแม่มด หรือการเดินทางในสายนี้ ใครบ้างหรอคะที่จะทำได้

ที่จริงแล้วศักยภาพทางจิตวิญญาณเป็นศักยภาพนึงตามธรรมชาติ มันเหมือนเราทุกคนก็วาดรูปเป็นวาดสวยวาดไม่สวยสร้างสรรค์แค่ไหน ก็จะแตกต่างกัน ก็เหมือนการใช้พลังอำนาจของเราค่ะ การเข้าถึงความรู้บางอย่าง จริงๆก็คือเป็นการเข้าถึงพลังอำนาจ ทุกๆคนสามารถใช้ได้ 

แต่ว่ามันมีการต่อสู้ทางการเมืองนะ จิตวิญญาณเนี่ย ในที่สุดแล้ว มันถูกควบคุมและครอบงำโดยคนแค่บางกลุ่มที่เขาจะเป็นผู้บอกว่า คุณใช้อะไรได้ ห้ามใช้อะไร แล้วอะไรที่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็จะบอกว่าอันนี้งมงาย อันที่ไม่เห็นด้วยเขาก็จะทำลายทิ้ง เช่น ที่เราเคยได้ยินคำว่าล่าแม่มด ซึ่งมันดำเนินต่อเนื่องมาหลายร้อยปี แม่มดก็คือคนที่ไม่ได้เชื่อในศาสนากระแสหลัก ไม่ได้ยอมรับพลังอำนาจของทางศาสนจักร แต่เขามีพลังอำนาจของตัวเขาเอง เขาสามารถดูแลเยียวยาตัวเองได้เชื่อมโยงกับตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพานักบวช ซึ่งนี่มันเป็นการท้าทายอำนาจของนักบวช 

แต่จริงๆ นักบวชก็เป็นผู้ใช้ไสยเวท การทำพิธีในโบสถ์ การที่กินขนมปัง จิบไวน์ที่เป็นเลือดเป็นเนื้อพระเยซู นี่ก็คือไสยเวท พิธีกรรมทางจิตวิญญาณนี่ใช่หมดเลย แต่เขาไม่เห็นด้วยกับพิธีกรรมที่ไม่ใช่แบบนี้ ดังนั้นเลยเกิดคำว่าล่าแม่มดกับพวกคนนอกรีต จริงๆมันเกิดขึ้นในทุกพื้นที่เลย รวมทั้งในประเทศไทยก็มีเหมือนกัน กับความเชื่อเรื่องผี ในบ้านเราถูกทำให้เป็นพุทธเดียว พุทธที่ถูกต้องแท้จริงแบบเดียวเกิดระบบสังฆราช ระบบวัด ระบบพระ ที่ด้อยค่าศาสนาและพิธีกรรมที่ดูไม่พุทธ

ไสยเวทนี่มันเป็นความรู้ท้องถิ่นที่มันใกล้ชิดกับผู้คนมากๆ แต่ถูกทำให้ลดทอนคุณค่า และไสยเวทไม่ได้แบ่งเพศ คือคนทุกเพศใช้ได้ และที่สำคัญคือ มันเป็นศาสนาที่อำนาจอยู่ที่ตัวเราเอง ลักษณะแบบนี้มันเฟมินิสต์มาก และผู้หญิงหลายคนก็ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และต่อสู้เรื่องเพศไปด้วย


พอสังคมไทยเป็นสังคมที่มีลักษณะชายเป็นใหญ่ มันก็พ่วงมากับศาสนาพุทธที่เป็นอำนาจนิยมมากๆ ดังนั้นผู้หญิงที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณก็จะถูกลดบทบาทไปเป็นแค่ร่างทรง เป็นหมอตำแยและก็เป็นความงมงาย

เหมือนถูกผลักออกไปมากเลยนะคะ

ใช่ค่ะ มันก็คือการต่อสู้ทางจิตวิญญาณมากๆ

งั้นพี่อันก็มองว่าการเคลื่อนไหวของแม่มด witch และไสยเวทเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์หรือเปล่าคะ

มีส่วนค่ะ ที่จริงแล้ว witch เนี่ยไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ว่าเขาไม่ได้ถูกยอมรับ แล้วความที่อำนาจของศาสนามันกดผู้หญิงมากๆเวลาที่ออกมาพูดถึงเรื่อง LGBTQ+ ในสังคมเนี่ย โห คุณพร้อมที่จะถูกใช้ความรุนแรง มันเป็นเรื่องที่ถูกรังเกียจ ถูกเบียดออกไป คุณพูดในพื้นที่ของศาสนาคริสต์ พุทธ ในบางเรื่องน่ะ จะถูกต่อต้าน ดังนั้นคนที่เป็นแม่มด เขาก็อยู่เงียบๆ เขาก็ใช้มันเงียบๆ และสืบทอดกันมา แต่พอมาถึงจุดนึง การต่อสู้ทางการเมืองเรื่องเพศ เราจะเรียกมันว่าเฟมินิสต์ หรือสตรีนิยม ที่พยายามจะทำให้เพศทุกเพศมันมีความเท่าเทียมกัน ส่วนนึงในนั้นมันก็มีมิติทางจิตวิญญาณ 

เราไม่สามารถที่จะต่อสู้โดยพูดแค่เรื่องเหตุผล พูดแค่เรื่องอำนาจ พูดแค่เรื่องบทบาท พูดแค่เรื่องสิทธิ แต่สิ่งที่จะทำให้การต่อสู้มันเข้มแข็ง มันต้องเริ่มตั้งแต่จิตวิญญาณ ต้องเริ่มตั้งแต่ความเชื่อ เริ่มตั้งแต่การมีอำนาจเพียงพอที่จะตีความความจริง 

ดังนั้นพอกระแสเฟมินิสต์เข้มแข็งขึ้น มันแพร่กระจายไปในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก คนที่มีความคิดความเชื่อทางจิตวิญญาณ เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่แม่มดนะ หลายๆ เรื่องเลย มันก็เริ่มมีพื้นที่จะปรากฏตัวเกิดเป็นชุมชนเป็นความเคลื่อนไหวที่เข้มแข็งขึ้น เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันนะ ไม่ใช่ว่าแม่มดเท่ากับเฟมินิสต์ แต่มันคือการที่เอื้อให้เราเป็นตัวเองได้ง่ายขึ้น พูดบางสิ่งได้ง่ายขึ้น และก็มีแม่มดบางคนเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมด้วย

สุดท้ายค่ะ สปอยล์  witch circle หน่อยได้มั้ยคะ ว่าจะได้มาเจอกับอะไรบ้าง

(หัวเราะ) พี่จะตอบแบบอนาถที่สุด คือพี่ไม่รู้ (หัวเราะ) คือพี่เป็นคนดูแลพื้นที่แล้วอำนายความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วม เราจะสามารถที่จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ อันนี้เป็นสเต็ปที่เริ่มต้นมากเลย มันไม่ได้เป็นพื้นที่ที่เราจะมาปล่อยของ จะมาเวิร์คช็อปเป็นเรื่องเป็นราว ทำเวทมนตร์ spell อันนู้นอันนี้ ยังไม่ใช่นะคะ

แต่ว่าแน่นอนว่ามันจะเป็นพื้นที่ที่พยายามให้มีความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เพื่อให้คนที่สนใจเส้นทางทางจิตวิญญาณมีเสรีภาพที่จะตีความ ที่จะเข้าใจ ที่จะออกแบบวิธีการเติบโตทางจิตวิญญาณของตัวเอง ได้มาคุยกัน

สำหรับพี่คนหนึ่งคนคือหนึ่งศาสนา เพราะฉะนั้นสามสิบกว่าคนที่มาเราก็จะมีสามสิบกว่าศาสนาในวันนั้น เเละเราจะตื่นเต้น ชื่นชม ปิติ ยินดี ที่เราจะได้พูดถึงโลกในความหมายของเรา ความศักดิ์สิทธิ์ในความหมายของเรา และแลกเปลี่ยนรับฟังความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น 

พี่เตรียมเรื่องของพื้นที่มากกว่า พยายามทำให้พื้นที่ตรงนั้นมีพลังงานที่ดี สิ่งที่จะเป็นความกังวล สิ่งที่จะเป็นความกลัว สิ่งที่จะเป็นความไม่แน่ใจ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกอยากจะร้างรา อยากจะยอมต่อการถูกกดข่มเนี่ย พี่ในฐานะคนที่ดูแลพื้นที่ตรงนั้น จะพยายามทำงานกับพลังเหล่านั้นให้มันหายไปและเปิดรับพลังงานที่ดี อันนี้คือหน้าที่ของพี่

พี่เชื่อว่าทุกคนมีเรื่องราวมา ไม่ต้องบอกให้ใครฟังใคร เพราะเราจะได้ยินสิ่งที่เราอยากได้ยินในวันนั้น”