สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง : Energy Work (ตอนที่ 1)

“การที่จะเรียนรู้อะไรได้ ต้องเริ่มจากการไม่รู้ก่อน เพราะฉะนั้นอยากจะชวนให้ปล่อยตัวเองมาอยู่กับความไม่รู้บ้าง แล้วก็ลองเข้าไปหาสิ่งต่างๆ ประสบการณ์ต่างๆ ด้วยดวงตาของเด็กที่อยากจะลองเล่น ขอให้พักการตัดสินของตัวเองไว้หน้าห้อง ลองเชื่อไปก่อนแบบไม่ต้องสงสัย อย่าเพิ่งเซนเซอร์ อย่าเพิ่งตรวจสอบว่าจริงไม่จริง การที่เราจะเรียนรู้ ทดลองอะไรใหม่ๆ ได้ หากเราวิเคราะห์วิจารณ์ ตัดสินมันตั้งแต่แรก มันเหมือนการ cancel สัญญาณ”

อุ๊ กฤตยา ศรีสรรพกิจ

คนที่ทันรายการคนอวดผีคงจะคุ้นกับชื่อ ‘เจน ญาณทิพย์’ เจ้าของประโยค

‘ดิฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง’

แน่นอนว่ากิจกรรม Healing Power of the Angels กับ อุ๊ กฤตยา ศรีสรรพกิจ ไม่ได้มาชวนเปิดประสบการณ์ขนหัวลุกแบบนั้น แต่มาเชิญชวนให้ทุกคนทำความรู้จักกับโลกของพลังงาน และ being ในมิติอื่นๆ แต่ก่อนเราต้องสื่อสารกับอีกโลกหนึ่งผ่านผู้วิเศษ คนทรงที่ได้รับคัดเลือก คนที่ดูจะพิเศษกว่าเราๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบันเรามีทางเลือก มีวิธีการที่หลากหลายมากขึ้นให้แต่ละคนได้เลือกใช้ ได้ลองเชื่อมต่อและมีประสบการณ์ตรงกับการสัมพันธ์กับอีกมิติ แถมสิ่งที่เราเจอยังไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่คิดไปเอง แม้ว่าหลายครั้งเราจะรู้สึกอย่างนั้นหรือถูกคนนอกมองว่าบ้าหรืองมงาย แต่ด้วยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เราสามารถยืดอกมั่นใจในประสบการณ์ของตัวเองได้แล้ว

ก่อนเริ่มกิจกรรม พี่อุ๊ชวนทุกคนมาจับมือภาวนาร่วมกันตามธรรมเนียมของฟินฮอร์น (Findhorn, ชุมชนทางจิตวิญญาณที่สก็อตแลนด์) โดยที่กลางวงมีดอกไม้ซึ่งเป็นตัวแทนของความงาม และเทียนซึ่งเป็นตัวแทนของแสงสว่าง เพื่อให้เราระลึกว่าที่ศูนย์กลางของเราทุกคนคือความงามและความดี คือแสงสว่างและปัญญา ถ้าเราตามสิ่งเหล่านั้นไป มันจะพาเราไปพบกับทางออก


ศูนย์กลางแห่งแสงสว่างและปัญญา

Intention

หลายๆ คนที่มาอยู่ในห้องเรียนวัชรสิทธาคงมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากสัมพันธ์กับอีกมิติให้ลึกซึ้งละเอียดลออยิ่งขึ้นอยู่แล้ว แต่พี่อุ๊อยากชวนให้ทุกคนมาค้นหาสิ่งที่เราต้องการจริงๆ จากกิจกรรม 2 วันนี้ เพราะการที่เรารู้ความตั้งใจ (intention) ของตัวเองจะช่วยให้เรามีหนทางในการก้าวไปสู่ความจริงที่มุ่งหวังไว้ ซึ่งพี่อุ๊บอกว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของกิจกรรมแล้ว ถ้าใครมีธุระหลังจากนี้ก็กลับก่อนได้เลย (ฮา)

“ถ้าเราอธิบายสิ่งที่เราอยากได้ละเอียดแค่ไหน สิ่งต่างๆ ในจักรวาลมันก็ช่วยสนับสนุนให้เราไปตรงนั้นมากขึ้นเหมือนการ manifest กำลังจะเสกอะไรบางอย่างขึ้นมา เราต้องชัดเจนว่าเราอยากได้อะไร”

การก้าวเดินไปสู่สิ่งที่เราตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่คุ้นเคยกับทางเดินของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจน่าตื่นเต้นไปจนถึงน่าหวั่นกลัวจนไม่กล้าก้าวขาออกไป ถึงอย่างนั้นก็อย่าพึ่งหมดหวัง เพราะเรายังมีตัวช่วยอย่างคริสตัล นางฟ้า และยารักษาใจที่จะช่วยสนับสนุนเราในการพบเจอกับอุปสรรคอยู่ นอกจากนี้ความตั้งใจที่เราได้ตอบรับ ได้รับรู้การมีอยู่ของมันก็เหมือนเราบรรลุความตั้งใจส่วนหนึ่งไปแล้ว

“เมื่อเราตอบรับสิ่งที่อยากจะให้เกิด มันก็เกิดขึ้นจริงแล้ว แต่หลังจากนี้จะทำยังไงให้สิ่งที่เป็นจริงไปแล้วยั่งยืนต่อไป เพราะว่าทุกอย่างมันทั้งทรงพลังและทั้งเปราะบาง หายใจแรงๆ ก็หายไปได้แล้ว แต่มันก็ทรงพลังมากเพราะมันมาจากแรงปรารถนาลึกๆ ของเราจริงๆ ต่อไปคือการดูว่าเราจะทำยังไงถึงจะสร้างเส้นทางจากจุดที่เรานั่งอยู่ไปจนถึงจุดที่เราก้าวไป ทำยังไงให้ทางนี้มันมั่นคง ไม่แปรเปลี่ยนไปมากนักตามสถานการณ์แวดล้อม ตามพลังงานแวดล้อม ตามการแปรเปลี่ยนไปแต่ละช่วง ทัศนคติของผู้คน ทำยังไงให้ทางนี้ของเรายังมั่นคงอยู่ตรงนั้นได้”

เพื่อทำให้สิ่งที่ดูเป็นนามธรรมและจับต้องไม่ได้ชัดเจนมากขึ้นสำหรับทุกคน พี่อุ๊ส่งไม้ต่อให้พี่มะเดื่อ วิทยากรรับเชิญที่จะมาช่วยแถลงไขเรื่องพลังงานด้วยคำอธิบายอีกรูปแบบหนึ่ง

พลังงาน

จากการโยนคำถามว่าพลังงานคืออะไร คำอธิบายตามความเข้าใจของผู้เข้าร่วม พลังงานเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้ มีอุณหภูมิ มีรูปแบบตายตัวและไม่มี พี่มะเดื่อยกตัวอย่างว่าถ้าเรานั่งอยู่ชายทะเล เราก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ที่มากระทบผิว เราเห็นดอกไม้สีเหลืองสีแดงผ่านดวงตา นั่นก็เป็นอีกรูปแบบของพลังงานที่แผ่กระจายและส่งมาที่เรา พูดง่ายๆ คือเรารู้สึกถึงการมีอยู่และสัมผัสพลังงานผ่านทั้งทางอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและอารมณ์ความรู้สึก

“จริงๆ แล้วเราสัมผัสทุกสรรพสิ่งด้วยพลังงานทั้งสิ้น แต่ในสรรพชีวิต หรือในโลก ในจักรวาล มันมีพลังงานที่เราอาจจะมองเห็นตัวตน สัมผัสได้ หรืออาจจะสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่ปกติเราอาจจะมองไม่เห็น หลายๆ เรื่องที่เราอธิบายด้วยคำว่าลี้ลับ จริงๆ แล้วมันมีคำอธิบายในเชิงควอนตัมฟิสิกส์ ในยุคที่ไอน์สไตน์ค้นพบระเบิดปรมาณู ค้นพบว่า E = mc2 (energy = mass x speed of light2) เมื่อควอนตัมศึกษาลึกลงไปอีกก็เจอเส้นของพลังงานที่มันวิ่งเข้าหาหรือวิ่งออกจากกัน เรียกว่า qwaia นี่เป็นสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในร่างกาย ถ้าเส้นพลังงานวิ่งเข้าหากันก็จะรวมเป็นอนุภาค ถ้าวิ่งออกจากกันตัวเราก็แยกออกเป็นชิ้นได้

พอมันมีเส้นพลังงานที่อยู่ในร่างกายเราตลอดทั้งตัว เราจะรู้สึกว่าบนตัวเรามันเหมือนมีอะไรอยู่ นอกจาก physical body ที่เราเห็นแล้วยังมี qwaia อยู่ แล้วก็แผ่พลังงานออกไปข้างนอก แล้วพลังงานก็เกิดการดูดเข้าหากันทำให้เรารู้สึกได้ว่ามันมีก้อนของพลังงานบางอย่าง” – พี่มะเดื่อ

สิ่งที่เราเห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างร่างกายของเรา เอาจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงการรวมตัวกันของพลังงานเท่านั้น เราล้วนสัมพันธ์กับพลังงานอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็นมันเท่านั้น และพลังงานองค์รวมนี้ก็กำลังสัมพันธ์กับพลังงานอื่นๆ อยู่เช่นกัน คล้ายเวลาเราจะเข้าไปคุยกับใครสักคน เราก็ต้องดูก่อนว่าเขาอารมณ์ดีไหม เขาแผ่ออร่าไม่น่าเข้าใกล้อยู่รึเปล่า 

“ความเป็นตัวเรา beyond ไปมากกว่าตัวเอง เพราะมันมีการส่งกระแสหรือคลื่นพลังงานออกไปข้างนอก ซึ่งคลื่นที่ส่งมามันก็เป็นการรวมกันของพลังงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากร่างกายของเรา ทั้ง physical body และ emotional body หรือว่า spiritual body เพราะว่าร่างกายของเราเป็นที่อยู่ของจิต เป็นที่พักอาศัยของจิตวิญญาณ ตัวที่ journey ไปเรื่อยๆ ก็คือ soul ของเราที่อยู่กับ physical body ทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องพลังงานมันเป็นสิ่งที่อยู่กับตัวเรา” – พี่มะเดื่อ

คำว่าร่างกายในทางพลังงาน ไม่ได้หมายถึงร่างกายเชิงกายภาพ (physical body) เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงร่างกายทางอารมณ์ (emotional body) และร่างกายทางจิตวิญญาณ (spiritual body) ด้วย แล้วถ้าเป็นนางฟ้าที่ไม่มีร่างกายให้เราเห็น แต่ก็มีจิตวิญญาณ เราจะนับว่ามีร่างหรือไม่มีร่าง? พี่มะเดื่อจึงพาเราไปสำรวจเรื่อง ‘มิติ’ ให้เราเห็นว่าการมีร่างมันหมายความว่ายังไง

มิติ

“ในวิชาควอนตัมฟิสิกส์ ถ้าเราเอาจุด 1 จุดมาวางบนพื้นเรียกว่า 1 มิติ  (first dimension) ถ้าเราเอาปากกามาขีดเส้น มีความกว้าง มีความยาว จะเรียกว่า 2 มิติ (second dimension) พอเราเอาความกว้าง ความยาว แล้วเอาความสูงมาใส่ เราเรียกภาวะนี้ว่า 3 มิติ (third dimension) ถ้าเราเอา 3 มิตินี้มาใส่ในมิติของเวลา เรียกว่า 4 มิติ (fourth dimension) มีความกว้าง ความยาว ความสูง ณ เวลาตอนนี้ เราเอาภาวะของมิติที่ 4 ของแต่ละคนมาสัมพันธ์กัน เรียกว่ามิติที่ 5 (fifth dimension) มิติที่ 5 คือ coordination ระหว่าง 4 มิติของเรากับเพื่อนของเรา บางคนอาจใช้คำว่ามิติคู่ขนาน (parallel universe) หรือความสัมพันธ์ของ space และเวลา (time & space)

นางฟ้าก็มีมิติของเขา เมื่อเขา coordinate กับเราก็เป็นมิติที่ 5 เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ในเงื่อนไขที่สอดคล้องกับมิติของเขา เราจะรับรู้การมีอยู่ของเขาได้” – พี่มะเดื่อ

ภาพถ่ายที่ดูมีมิติตื้นลึก เมื่อถูกพิมพ์ลงบนกระดาษจะมีเหลือเพียง 2 มิติ คือความกว้างและความยาวของกระดาษ ส่วนมนุษย์อย่างเราๆ ที่มีทั้งความสูง ความกว้างของไหล่ และไขมันรอบเอวถือว่าเป็น 3 มิติ เมื่อเพิ่มมิติของเวลาเข้ามา ตัวเรา ณ เวลา 14.02 น. ก็จะกลายเป็น 4 มิติ เมื่อตัวเราในเวลา 14.02 น. ไปพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน มิติของเรากับเพื่อนได้เหลื่อมซ้อนกันเป็นมิติที่ 5 การติดต่อกับพลังงานอื่นๆ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบภูตผี หรือเทพเทวาก็ใช้หลักการเดียวกัน เพียงแต่ว่าเราสามารถสื่อสารกับมนุษย์ที่เห็นตัวเป็นๆ ได้ง่ายกว่าเพราะเราอยู่ในคลื่นความถี่เดียวกัน ในขณะที่ being อื่นๆ ไม่ได้มีร่างกายเชิงกายภาพ เราจะสื่อสารกับเขาเหล่านั้นได้ต้องมีสัมผัสที่ละเอียดในระดับเดียวกันกับพลังงานของเขา


อุ๊ กฤตยา ศรีสรรพกิจ

Sensing

“การทำงานกับมิติด้านพลังงานมันก็คือการฝึกในการที่จะเปิดรับต่างๆ และฝึกที่จะฟังสัญญาณตัวเอง อย่างที่อุ๊เล่าว่าความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ อันนั้นจริงที่สุด อันนี้คือความรู้ที่สำคัญมากสำหรับตัวเองในการที่จะใช้เป็นเข็มทิศในการวัดของตัวเองว่าความรู้สึกไหนที่ใช่ที่สุด แต่ละคนก็จะมีวิถีของตัวเองในการหาว่าวิถีแบบไหนที่ช่วยให้เราสัมผัสถึงพลังงานได้ดีที่สุด การนั่งสมาธิก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมมาก การใช้คริสตัล การใช้ essential oil เป็นตัวเลือกอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนการเปิดรับสัมผัสต่างๆ ของเรา

อย่างปกติที่เรารับรู้ทางกายภาพ เรารับรู้ผ่านสัมผัสต่างๆ เรามองเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เรารู้รส ในทางพลังงานมันก็มีการรับรู้ในหมวดนั้นเหมือนกัน แต่เป็นการรับรู้ภายใน บางทีเราหลับตาแล้วเราเห็นภาพอะไรบางอย่าง เห็นจากข้างใน แล้วมันก็จริงเหมือนกับที่เราเห็นข้างนอก แต่เราเห็นผ่านตาในของเรา สำหรับบางคนเมื่อนึกถึงห้องนอนอาจจะได้กลิ่นตุ๊กตาเน่า แต่เราได้กลิ่นจากจมูกข้างใน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในมิติที่ 4 ไม่ใช่มิติที่ 4 ตอนนี้ แต่เมื่อเรานึกถึงมันแรงพอ มิติที่ 5 ของเราก็ไปทับซ้อน ทำให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตอนนั้นกลับมาเกิดขึ้นจริงในตอนนี้ได้ หรืออาจจะเป็นการรับรู้รส เปิดเฟซบุ๊กตอนดึกๆ แล้วไปเจอร้านเนื้อย่าง บางทีเราก็ได้กลิ่น รับรู้รส และท้องร้องตาม เรารับรู้สัมผัสได้ ยังไม่ทันโดนตัวเรา แต่พอมันมาใกล้ๆ เราก็รับรู้ได้ บางคนก็รับรู้ถึงอุณหภูมิที่ต่างออกไป หรืออาจเป็นการรับรู้ถึงแรงดัน

Sensing ทางพลังงานมีเยอะมาก และมันเป็นเซนส์ปกติของความเป็นมนุษย์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า supernatural ซึ่งจริงๆ แล้วมันแปลว่าโคตรธรรมชาติ แต่มันเป็นสัมผัสที่เราใช้น้อยหรือเราไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ค่อยให้คุณค่ากับมัน ถ้าเราให้คุณค่ากับมันมากขึ้นเราก็จะเห็นหรือรับรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เรารับรู้ทางกายภาพ และเราก็จะได้เห็นว่าแต่ละคนมีหมวดที่ตัวเองถนัด บางคนถนัดเห็นภาพ ก็จะจินตนการได้ง่าย บางคนถนัดดมก็จะสัมผัสกลิ่นได้ง่าย บางคนรับรู้ด้วยเสียง pitch เสียงที่ถ้าเราฝึกฟังภายในไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าแต่ละเสียงแปลว่าอะไร” – พี่อุ๊

ในตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราไม่มีภาษาที่จะมาอธิบายสิ่งที่เรารู้สึก สัมผัส หรือรสชาติมากเท่าไหร่นัก แม้ว่าจริงๆ แล้วเราจะรู้สึก หรือรู้รสได้เท่าๆ กับผู้ใหญ่ เมื่อกินส้ม เด็กน้อยอาจจะบอกว่าส้มลูกนี้หวาน พอโตขึ้นไปเด็กคนนั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมทั้งมีภาษามาช่วยอธิบายมากขึ้น เขาก็สามารถระบุรสชาติได้อย่างชัดเจนว่าส้มหวานอมเปรี้ยว และมีรสขมฝาดของใยส้มด้วย ในการรับรู้พลังงานก็เช่นเดียวกัน เราสามารถเหลาประสาทสัมผัสให้เฉียบคมขึ้นได้จากการใช้งานบ่อยๆ ให้พลังงานต่างๆ ที่เข้ามากระทบเราเข้ามาอยู่ในการตระหนักรู้เหมือนเวลาที่เรานั่งสมาธิเพื่อดูร่างกาย ดูลมหายใจ ดูความนึกคิด แน่นอนว่าวิธีการที่จะช่วยจูนประสาทสัมผัสของเรามีหลากหลายมากกว่าการนั่งสมาธิหรือเข้าทรง จึงไม่แปลกหากวิธีนี้จะใช้ได้ผลกับคนอื่น แต่ไม่ได้ผลกับเรา

“การทำงานกับโลกพลังงานเหมือนเราต้องสร้างแผนที่หรือดิกชันนารีให้ตัวเองว่าสัมผัสแบบนี้แปลว่าอะไร แล้วการสร้างดิกชันนารีจะไม่เสร็จในทีเดียว มันเป็นดิกฯ เฉพาะตัวของเราที่เราต้องสะสมคลังคำของตัวเอง แล้วมันก็จะไม่มีวันจบด้วยนะ เพราะตัวเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อีก 1 นาทีข้างหน้าเราก็เป็นคนใหม่แล้ว ทุกอย่างต้องอัพเดทเรื่อยๆ มันก็ทั้งน่าเหนื่อยและน่าสนุกด้วย”

อุ๊ - กฤตยา ศรีสรรพกิจ