เรื่องเล่าหน้าธรรมบาล EP.1 : หญิงสาวคนนั้น

บทความโดย อันอัน วรวรรณ

ที่มาภาพ : Unun Worawan

เช้าวันเสาร์ในกิจกรรมหนึ่งของวัชรสิทธา ปกติจะเริ่มที่เก้าโมง หญิงสาวคนหนึ่งมาสายเล็กน้อย เธอไม่เคยมาวัชรสิทธามาก่อน เธอเร่งรีบเดินขึ้นบันได ผ่านห้อง “หรีะ” มุ่งหน้าไปยังห้องตาราขาว และเดินย่างก้าวเข้ามานั่งในห้องจัดกิจกรรม ในวงที่มีผู้คนนั่งเรียงรายอยู่กันเกือบครบแล้ว เธอเดินตรงผ่านวงมาทางด้านริมหน้าต่างที่มีมูลี่กั้นแสงแค่เพียงบางๆ แสงสว่างของพระอาทิตย์เจิดจ้าตรงสปอตที่นั่งตรงนั้น แดดยามเช้ากำลังส่องเข้ามาพอดี มีเบาะว่างเหลืออยู่หลายเบาะ แต่เธอก็เลือกที่จะนั่งลงตรงแสงสว่างนั่น อะไรกันนะที่ดลใจให้เธอเดินเข้าหาแสงสว่างตรงนั้น มุมที่น่าจะโดนแดดมากที่สุดของเช้าวันนั้น

มีเพื่อนแปลกหน้าเอ่ยถามเธอว่า “ตรงนี้ร้อนนะ เธอจะนั่งตรงนี้เหรอ”

เธอบอกว่า “โอเค”

เธอยืนยันที่จะนั่งลงตรงนี้ ที่นั่งข้างหน้าแท่นบูชาธรรมบาล…

ในที่สุดกิจกรรมวันแรกก็เริ่มขึ้น เธอไม่รู้จักใครในที่นั่นเลย แต่ด้วยความอบอุ่นของพื้นที่ เธอรู้สึกผ่อนคลายที่จะอยู่ ณ ตรงนั้น เธอก็ได้จับคู่แลกเปลี่ยนกับเพื่อนรุ่นพี่ข้างๆ ที่นั่งหน้าธรรมบาลเหมือนกัน ต่างคนต่างรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อน เรื่องราวที่เล่าก็ไหลลื่นเหมือนเคยคุยกันมาแล้ว เป็นเพราะอะไรกันนะ ในขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้นรู้สึกถึงพลังอันอบอุ่น เกื้อหนุน เสริมพลังไปในเวลาเดียวกัน ตรงนั้นเป็นจุดที่เครื่องปรับอากาศลงมาเต็มที่ แต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลย เพราะพลังงานความร้อนกระจายแผ่ไปทั่ว ณ ตรงนั้น

หากใครมาที่วัชรสิทธาครั้งแรกหรือมาบ่อยๆ ก็จะได้สัมผัสพลังงานของพื้นที่ที่มีความดิบและเปิดกว้าง ทอดสายตามองเข้าไปก็จะเห็นทังกะตรงกลาง และแท่นบูชาที่มีรูปเรจจี้และตรุงปะอยู่ ถัดไปจะเป็นเก้าอี้นั่งที่ว่างเสมอ พร้อมโต๊ะเคียงที่มีเทียนและแจกันดอกไม้เล็ก ถัดไปอีกตรงมุมขวาสุดของห้อง จะเป็นโต๊ะตัวเล็กแต่มีรูปธรรมบาลทั้งสี่พร้อมเทียนแก้วและของบูชาที่เป็นเนื้อสัตว์สดหรือดอกไม้สดที่วางอยู่หน้าแท่น แล้วแต่ใครจะสรรหามาถวายในวันนั้น

กิจกรรมวันที่สองดำเนินต่อไป หญิงสาวได้เคลื่อนย้ายไปคุยกับกลุ่มอื่นๆ แต่เธอก็ยังนั่งหันหลังให้ธรรมบาลอยู่ หญิงสาวคนนั้นได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตอันลึกซึ้งและเปราะบางของเธอให้กับผู้ฟังในกลุ่ม เรื่องราวที่เธอน่าจะไม่เคยแชร์ให้คนแปลกหน้าฟังมาก่อน เรื่องราวที่จะกระตุ้นต่อมน้ำตาเธอทุกครั้งที่เอ่ยถึง เธอเก็บมันไว้ในซอกหลืบของหัวใจมานานแล้ว ไม่เคยยอมให้มันออกมาอีกเลย แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็พร่างพรูออกมาไม่ขาดสาย เธอแปลกใจที่มันลื่นไหลออกมาได้ง่ายปานนั้น

ช่วงบ่ายเธอได้นอนภาวนา Bodywork หน้าธรรมบาลพอดี การได้นอนลงปิดตาหลังกินข้าวอิ่ม ช่างเป็นช่วงเวลาที่เป็นสุข เธอรู้สึกผ่อนคลายไปกับพื้นซีเมนต์เย็นๆที่มีเบาะรองรับแผ่นหลังและขาของเธอ เผลอหลับไปพร้อมเสียงภาวนามนตราที่เข้ามาสัมผัสที่ใบหู ประหนึ่งเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจากดินแดนอันแสนไกล ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เธอได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเยี่ยงนี้

“จะมีที่ไหนในกรุงเทพที่เธอจะได้นอนกลางวันก่อนเริ่มคลาสกันล่ะ”  เธอรำพึงรำพัน

เธอกลับบ้านไปพร้อมร่างกายที่ผ่อนคลายและจิตใจที่เริ่มคลี่ออก กิจกรรมวันที่สาม เธอได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับความต้องการที่แท้จริงของเธอ ความต้องการลึกๆที่เธอปรารถนามานานแล้ว ความต้องการที่เธอไม่เคยยอมรับมันเลย และแล้วก็มีเสียงเชิญชวนในคลาสเบาๆว่า..

“ร้องขอสิ ร้องขอออกไป เชื่อมต่อกับความต้องการของเธอ แผ่ขยายออกไปให้กับผู้คนที่มีความต้องการคล้ายๆกัน หายใจเอาความต้องการนั้นแล้วส่งออกไป ออกไป ออกไป …”

จนท้ายที่สุดแล้ว หรือ ตอนไหนก็ไม่รู้ มวลความต้องการของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง สลายออกไป เชื่อมต่อกับความปรารถนาที่จะให้ทุกคนได้รับสิ่งนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เธอระลึกได้ว่าความปรารถนาที่เคยเป็นของเธอ ก็ไม่เป็นของเธออีกต่อไป เพราะมันได้เชื่อมโยงกับสรรพสิ่งผ่านการร้องขอไปแล้ว

ประสบการณ์สามวันของเธอที่นั่งหันหลังให้กับธรรมบาลทั้งสี่ เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำทั้งหมดได้ เหมือนเธอได้รับการโอบอุ้มจากจักรวาล หรือบรรดาแม่ ๆ ที่มองไม่เห็นทั้งหลายในห้องนั้น เธอประหลาดใจที่เธอยอมเปิดเผยความเปราะบางออกมา ตรงนั้น ตรงหน้าแท่นบูชาธรรมบาล ทั้ง ๆ ที่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสามวันที่แล้วที่เธอมาที่นี่ใหม่ ๆ มีแต่คนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักเลย ตอนนี้เธอกลับออกไปด้วยความแปลกหน้าเหมือนเดิม แต่มีความอบอุ่นเกิดขึ้นภายในจิตใจน้อยๆของเธอ เธอหันหลังเดินออกไป อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองแท่นบูชานั้นอีกครั้ง แล้วส่งยิ้มบนใบหน้าให้กับความว่างเปล่าของพื้นที่ตรงหน้า

“วัม ในธรรมกาย ท่านคือความสุกสว่างที่ปลดปล่อยตัวเอง
ในสัมโภคกาย ท่านคือวัชรโยคินี
ในนิรมาณกาย ท่านคือมารดาแห่งสรรพสัตว์
พลังแห่งปัญญาญาณปรากฏขึ้นจากมณฑล
ข้าขอมอบเครื่องถวายทั้งภายใน ภายนอก และเร้นลับ
จากความเรียบง่ายแห่งความว่างและปีติ
สู่ความเป็นเช่นนั้นของการอภิเษกที่สี่
สุภาพสตรีแห่งมนตรา ได้โปรดรับและนำทางแก่เราด้วย”

– บางส่วนของบทร้องขอต่อเหล่าธรรมบาล (นางเอกชาติ) เรียบเรียงเป็นภาษาไทยโดย วิจักขณ์ พานิช